เที่ยวฮ่องกง ไปเองได้ ไม่ง้อทัวร์

ใหม่ล่าสุด –> เที่ยวฮ่องกงไม่ง้อทัวร์ 2012 คลิกอ่านได้เลยครับ

ในเดือนตุลาคม มีทริปไป เที่ยวฮ่องกง อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเท่าไหร่ เนื่องจากว่าทางบริษัทผม ส่งไปดูงานที่ฮ่องกงพร้อมกับลูกทัวร์ 5 คน เรารู้ล่วงหน้าก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน มีเวลาไม่มาก ต้องรีบจองตั๋วเครื่องบินก่อน สายการบินแรกที่นึกถึงเป็น Air asia สายการบิน Low cost คิดว่าราคาน่าจะถูกกว่าเพื่อน พอลองคลิกจองแล้ว ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด รวมโน่น รวมนี่แล้ว ซัดไป 9,000 กว่าบาท / คน

บินไปฮ่องกงสายการบินไหนดี?

จากนั้นเลยลองเปรียบเทียบราคากับ Cathay Pacific สายการบินที่คนนิยมบินไปฮ่องกง ราคาของ Cathay Pacific อยู่ที่ประมาณ 11,000 กว่าบาท / คน เป็น Full service ราคาก็ยังแพงอยู่ สุดท้ายเลยให้ทัวร์เอเจนซี่ ลองเช็คราคาของสายการบินฮ่องกง แอร์ไลน์ (Hong kong airlines) ราคาถูกกว่าเพื่อน 8,900 บาท บินไปตอนบ่ายสาม ขากลับจากฮ่องกงมากรุงเทพฯ เครื่องออกเกือบ 5 ทุ่ม ดูแล้วน่าจะโอเคที่สุด ราคาไม่แพง เป็น Full service ด้วย

จากการค้นคว้าของผม สายการบินฮ่องกง แอร์ไลน์ เป็นสายการบินที่เพิ่งมีเที่ยว กรุงเทพฯ <—> ฮ่องกง มาเมื่อเดือน มิถุนายน 53 นี่เอง ดังนั้นจึงมีราคาไม่ค่อยแพง เพราะต้องแข่งกับสายการบินที่มีอยู่แล้ว เที่ยวบินก็มีหลายเที่ยวบิน / วัน ใครที่สนใจจะไปฮ่องกงลองดูฮ่องกง แอร์ไลน์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะครับ

ไปฮ่องกงต้องใช้ VISA ไหม

คนไทยสามารถเข้าฮ่องกงโดยไม่ต้องใช้ VISA ครับ ใช้เพียง Passport ที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือนในวันเดินทาง สามารถอยู่ในฮ่องกงได้ไม่เกิน 30 วัน

เกี่ยวกับฮ่องกง

ฮ่องกง เป็นมณฑลหนึ่งในประเทศจีน มีอาณาเขตติดกับ เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกงประกอบด้วยเกาะ 3 เกาะใหญ่ๆ ได้แก่เกาะลันเตา เกาะเกาลูน และเกาะฮ่องกง ส่วนเกาะเล็กๆ มีมากถึง 235 เกาะ แต่ก่อนฮ่องกงเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน อังกฤษได้วางรากฐานการศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง รูปแบบผังเมืองให้กับฮ่องกง ฮ่องกงจึงมีความเจริญ เป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจ และเมืองท่องเที่ยวระกับโลก และจากการที่ฮ่องกงเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน ทำให้คนฮ่องกงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง

1 กรกฎาคม 1997 อังกฤษได้คืนฮ่องกงให้กับจีน โดยจีนสัญญาว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงฮ่องกงไป 50 ปีนับตั้งแต่อังกฤษคืนฮ่องกงให้จีน ปัจจุบันฮ่องกงเป็นหนึ่งในเขตการปกครองพิเศษ มีอิสระในการปกครองตัวเอง

วันเดินทาง

วันนี้เครื่องออก 15.05 แต่เราออกจากบ้านเกือบเที่ยง เผื่อเวลากินข้าว เผื่อเวลารถติดด้วย ปกติแล้วผมเป็นคนที่ชอบเผื่อเวลาไปพอสมควร โดยเฉพาะเวลาบินไปต่างประเทศแล้ว จะไปถึงสนามบินก่อนเครื่องออกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อไปถึงสนามบินแล้วก็มองหา Counter Check in ของ Hong Kong airlines

มองเห็นแล้วครับ Hong Kong airlines อยู่ช่อง P ไกลเกือบสุดแน่ะ

เที่ยวบิน กรุงเทพฯ –> ฮ่องกง ของเราเป็นเที่ยวบิน HX796 Economy class เครื่องออก 15.05 น.

คนบินกับ Hong Kong airlines เยอะเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็ใช้เวลาเช็คอินไม่นานครับ กระเป๋าก็ถูกโหลดไปเรียบร้อยแล้ว พนักงานที่เค้าน์เตอร์ก็บริการดีนะครับ

ต่อไปก็จัดการเรื่องเงิน ปกติแล้วผมจะชอบไปแลกเงินที่ Super rich หลังตลาดลุงเพิ่ม การบินไทย เรทเค้าค่อนข้างดีครับ แต่ทริปนี้ไม่มีเวลาจริงๆ เลยไปแลกเอาที่สนามบินเลย ได้ความสะดวก แต่เรทไม่ค่อยดี

เรทของธนาคารไทยพาณิชย์ที่สนามบิน 1 ดอลล่าร์ฮ่องกง (HKD) = 4.09 บาท แต่ถ้าไปแลกที่ Super rich จะอยู่ที่ 1 ดอลล่าร์ฮ่องกง (HKD) = 3.99 บาท

ทริปนี้ผมแลกไป 7,330 HKD (29,979 บาท) ส่วนต่างระหว่างแลกที่สนามบิน กับ Super rich จะอยู่ที่ (4.09-3.99)*7330 = 733 บาท

Note. 15/1/2014 การแลกเงิน HKD (ฮ่องกงดอลลาร์) ควรหลีกเลี่ยงธนบัตร ใบละ 1,000 ที่ออกโดย Bank of China ปี 2003 และ HSBC รูปหัวสิงโต เนื่องจากมีการปลอมแปลงเป็นจำนวนมาก ร้านค้า และ ห้างจะไม่รับธนบัตรรุ่นนี้แล้ว

จัดการเรื่องเงินเสร็จก็พาลูกทัวร์มาทานอาหารที่ชั้น 2 หรือ ชั้น 3 นี่แหล่ะที่มีรา้นอาหารเยอะๆ พาไปกินเกี๊ยวชามละ 100 บาท

เทียบกับคุณภาพและสถานที่แล้ว ก็พอรับได้ ไม่แพงมาก

ก่อนเข้า Immigrate ผ่านร้าน FamilyMart แวะซื้อของที่ร้านนี้ ร้านนี้ขายแพงกว่าปกติ 10-20% ซื้อของในสนามบินก็ประมาณนี้แหล่ะครับ

ช่วงบ่าย ตม แถวไม่ค่อยยาวครับ ยืนรอ 5 นาทีก็เข้ามาข้างในได้แล้ว

เดินดูของที่ Duty free เล่นๆ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร เราขึ้นเครื่องที่ Gate G4 เกือบจะเป็น Gate สุดท้ายเลย

ใน Boarding Pass บอกว่า Boarding Time 14.15 น. แต่ปล่อยให้เข้าเกทตอน 14.50 เริ่มมีแววว่าจะ Delay แล้ว

รอขึ้นเครื่องอยู่นาน เที่ยวบิน Delay ไป 30 นาที

เครื่องบินที่ใช้เป็นรุ่น Air bus 330 ลำใหญ่ครับ น่าจะเป็นรุ่นเดียวกับเครื่องบินของ Cathay Pacific

งวงช้างเปิดแล้วครับเรานั่งแถวที่ 14 การจัดวางที่นั่งจะเป็น 2-4-2 ที่นั่งกว้าง นั่งสบาย พร้อม PTV ทุกที่นั่ง ใหม่สะอาด มีผ้าห่มบางๆ ให้ด้วย

นั่งได้ซักพักมีแจกผ้าเช็ดเช็ดทำความสะอาดแบบฆ่าเชื้อ และ หูฟัง

PTV มีหนังให้เลือกดูหลายเรื่อง หนังก็ไม่เก่านะครับ มีหนังเรื่อง The Hangover 2 ที่ถ่ายทำที่เมืองไทยด้วย มีเกมส์ให้เล่น มีเพลงให้ฟัง แต่ไม่มีข้อมูลการบินว่าตอนนี้บินอยู่ตำแหน่งไหน ความเร็วเท่าไหร่ อุณหภูมิข้างนอกเท่าไหร่ ฯลฯ

หน้าจอ PTV เป็นแบบ Touch screen ใช้งานง่ายดีครับ แต่รู้สึกว่าหน่วงๆ หน่อย กดแล้วซักพักถึงทำงาน

พอเครื่อง Take off ไปได้ซักพักก็แจกใบ ตม. ฮ่องกง ใน 1 ชุดจะมีอยู่ 3 แผ่นครับ Arival card (ขาเข้า), Departure card (ขาออก) และใบที่เป็นรายละเอียดเป็นใบสุดท้าย (ไม่ต้องกรอก) ใบขาเข้าจะอยู่บนสุด เวลาเราเขียนชื่อที่ใบขาเข้า ใบขาออกจะเป็น carbon copy ก็จะติดไปด้วยครับ ทำให้ไม่ต้องเขียนข้อมูลซ้ำ 2 ใบ

แต่ก็มีบางช่องที่ไม่ได้ทำ carbon copy มาให้เช่น เดินทางด้วยเที่ยวบินอะไร เพราะขาเข้า / ขาออก ไม่เหมือนกัน

ใครที่หน้าออกจีนๆ ถ้าเค้าไม่แจกอย่าลืมขอมาด้วยนะครับ

นั่งดูหนังฟังเพลงไปได้ซักพัก แอร์โฮสเตสก็มาเสริฟอาหาร ผมสั่งเป็นเมนูปลาไปครับ ทำคล้ายๆ ห่อหมกเลย รสชาติพอกินได้ครับ แต่ผมว่าของ Cathay Pacific ดีกว่า

ถ้วยนี้ทำคล้ายๆ ส้มตำเลย เปรี้ยวนิดๆ แต่ไม่เผ็ด ผักสดดี แก้เลี่ยน แก้เวียนหัวได้ครับ

ส่วนเครื่องดื่ม ขอเป็นเบียร์ไปครับ ชิวๆ แป๊ปเดี๋ยวก็ถึง กระป๋องนี้เป็นเบียร์จีน TSINGTAO รสชาติดีครับ คล้ายๆ สิงห์ + ลีโอ

เครื่องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 20 นาที ก็มาถึงสนามบินเชก แลป ค๊อก ฮ่องกง (Chek Lap Kok) เครื่องบินกับ Immigration จะอยู่คนละ Terminal กัน ต้องนั่งรถไฟฟ้าไป สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อถึงฮ่องกงคือ ตั้งนาฬิกาใหม่ครับ เวลาที่ฮ่องกงเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง

สนามบินเชก แลป ค๊อก เป็นสนามบินที่เปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2541 สนามบินแห่งนี้ได้รับรางวัลสนามบินยอดเยี่ยมอันดับ 1 ในปี ค.ศ. 2001 – 2008 และล่าสุดในปี 2011 ก็ได้รับรางวัลสนามบินยอดเยี่มอันดับ 1 อีกเช่นกัน สนามบินเชก แลป ค๊อก สร้างขึ้นด้วยการถมทะเลออกไป ให้ไกลออกไปจากตัวเมือง เหตุผลของการสร้างสนามบินใหม่ เนื่องจากว่าสนามบินเก่า (สนามบินไคตั๊ก) ที่อยู่ในเกาะเกาลูนฝั่งตะวันออกคับแคบ และภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย ติดภูเขา มีตึกบัง

ขึ้นรถไฟฟ้า เหมื่อว่าจะเป็นรถที่ไม่มีคนขับ

นั่งไปประมาณ 5 นาทีก็ถึง Immigration

ที่ ตม. ขาเข้าฮ่องกงจะมีช่องสำหรับชาวฮ่องกง ช่องสำหรับชาวมาเก๊า และช่องสำหรับนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ (Visitor) ต้องเข้าให้ถูกช่องนะครับ คนไทยเข้าช่อง Visitor ครับ ในช่อง Visitor คนรอคิวค่อนข้างเยอะ แต่เค้าก็เปิดให้บริการอยู่หลายช่อง คนก็ไหลไปได้เรื่อยๆ เท่าที่สังเกตเค้าก็ไม่ได้ถามอะไรเรา มองหน้าแล้วก็ปั๊มไป

พอถึงคิวผมมองหน้าแล้วก็เปิดเล่มพาสปอร์ต กลับไป กลับมา เหมือนว่าดูว่าเราไปไหนมาแล้วบ้าง หรือพี่แกหาปั๊มของ ตม. ไทย ขาออกนอกประเทศก็ไม่รู้ แล้วพี่แกก็ปั๊มไป โดยไม่ถามอะไรซักคำ

ประสบการณ์ถูก ตม. ฮ่องกงกักตัว

พอผมออกจาก ตม. มาได้ก็มองหาลูกทัวร์ทั้ง 5 คนว่าเรียบร้อยกันแล้วหรือยัง ปรากฎว่างานเข้าครับ 4 คนกำลังถูก ตม. ซักถามอยู่ด้วยท่าทางเคร่งเครียด แล้วลูกทัวร์สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้

ขอเกริ่นย้อนไปถึงลูกทัวร์ผมนิดนึง ลูกทัวร์ผมเกือบทั้งหมดไม่เคยไปต่างประเทศ passport ขาว แต่งตัวไม่ค่อยดีนัก เช่นกางเกงขาเดฟ เสื้อตาสก๊อต ผมยาว เสื้อผ้าเก่า แต่ทุกคนทำงานดี บ.เลยส่งให้ผมพาบินไปดูงานที่ฮ่องกง

พอเห็นท่าทางไม่ดีผมเลยเข้าไปเคลียร์ บอกว่ามาด้วยกัน ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษระหว่างผมกับ ตม. ฮ่องกง ขอแปลเป็นไทยเพื่อความสะดวกในการอ่าน

ตม. ฮ่องกง. คุณเป็นอะไรกับคนกลุ่มนี้

ผม. เพื่อนร่วมงานครับ

ตม. ฮ่องกง. ขอดูตั๋วเครื่องบินขากลับหน่อย

ผม. ค้นแล้วหาไม่เจอ เลยบอกไปว่าสงสัยอยู่ในกระเป๋าเดินทางโน่น แล้วส่ง Hotel Voucher ให้ดูแทน

ตม. ฮ่องกง. อยู่กี่วัน มาทำอะไร

ผม. 3 วัน มาดูงานที่ Asia world Expo

ตม. ฮ่องกง. มีบัตรพนักงานไหม

ลูกทัวร์. ไม่มี!!! ไม่ได้เอามา

ตม. ฮ่องกง. ขอดูเงินในกระเป๋าลูกทัวร์ผม

ลูกทัวร์. เปิดกระเป๋ามามีแบงค์อยู่ไม่กี่ใบเอง คือเจ้านายให้ผมถือเงินกองกลาง ค่ากิน ค่าเที่ยว ผมออกหมด ผมเลยเอาเงินผมมาให้ดูประมาณ 3 หมื่น บาท บอกว่าผม support เค้า

ตม. ฮ่องกง. ขอดูบัตรเครดิต

ผม. ลูกทัวร์ผมเค้าไม่มีบัตรเครดิตอยู่แล้ว บัตรอิออนเค้าก็ไม่ได้เอามา ผมเลยมั่วๆ บอกให้เอา ATM มาละกัน

ตม. ฮ่องกง. ดูท่าทางจะ OK แล้ว เค้าไล่ให้ทุกคนไปตรงที่รับกระเป๋า แล้วให้ลูกทัวร์ผม 1 คนอยู่ก่อน

ผม. ตอนนั้นกลัวมากครับ กลัวลูกทัวร์โดนส่งกลับ กลัวว่าเค้าจะสื่อสารกับคนอื่นยังไง เลยถาม ตม. ฮ่องกง ว่ายังติดอะไรไหม เค้าบอกไม่ ไม่มีแล้ว แล้วเค้าก็เอา passport ลูกทัวร์ผมไป Key อะไรบางอย่าง เหมือน Note ไว้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงมาขายแรงงานละมั้ง

จริงๆ เค้าถามเยอะกว่านี้ประมาณ 20 นาทีได้ แต่ผมคัดคำถามมา สุดท้ายก็จบลงได้ด้วยดีครับ

ใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก หรือครั้งที่ 2-3 ก็ตาม ผมขอแนะนำดังนี้ครับ

1. แต่งตัวให้ดี ทำตัวให้เหมือนนักท่องเที่ยว จะสะพายกล้องด้วยก็ได้ อย่าทำตัวเหมือนคนมาขายแรงงาน ส่วนผู้หญิงก็อย่าโป๊ อย่าสั้นมากครับ

2. พกเงินไปให้เหมาะสมกับจำนวนวันที่อยู่ บัตรเครดิตควรพกไปด้วยครับ ยิ่งเป็นบัตรของธนาคารอินเตอร์ยิ่งดี เช่น Citibank, UOB, HSBC เค้าน่าจะรู้จักมากกว่าสถาบันการเงินในประเทศไทย

3. ใบจองโรงแรม ตั๋วขากลับพกติดตัวไปด้วยครับ เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าเราไปแล้วกลับ

4. นามบัตร, บัตรพนักงาน มีไว้ก็ดี

5. อย่าแสดงท่าทางกลัว ให้มั่นใจ มองหน้า สบตาเวลา ตม. ถาม

ออกจากด่าน ตม. มาได้ก็มารอรับกระเป๋า รอไม่นานครับ การจัดการดี สมเป็นสนามบินที่ดีอันดับต้นๆ ของโลก ได้กระเป๋าแล้วให้เดินตามป้าย to city หรือจะเดินตามคนหมู่มากไปก็ได้ครับ รับรองว่าไม่มีหลง

เจอกับ Hong Kong Tourism Board เลยเข้าไปหยิบแผนที่ฮ่องกง (ฟรี) มาพกติดตัวซะหน่อย มีโบชัวร์สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเลยครับ

แผนที่ฮ่องกง ช่วงนี้จะเป็นรูปวันฮาโลวีน ด้านในละเอียดดีครับ มีแผนที่ครบทุกเกาะ เกาัะลันเตา เกาะเกาลูน เกาะฮ่องกง เส้นทางรถไฟฟ้าก็มีครับ

การเดินทางในฮ่องกงเราจะต้องซื้อบัตรโดยสาร Octopus card (อ่านว่า ออกโทพุส) หรือที่คนไทยเรียกันว่าบัตรปลาหมึก เป็นบัตรที่ใช้โดยสารรถเมล์, รถไฟฟ้า, รถราง ใช้จ่ายเงินแทนเงินสดได้ใน 7-eleven หรือตามร้านค้าต่างๆ

บัตร Octopus ซื้อครั้งแรกราคา 150 HKD เป็นมัดจำ 50 HKD และมูลค่าในบัตร 100 HKD ก่อนกลับไทยเราก็สามารถ Refund เงินในบัตร + มัดจำคืนได้ ถ้าบัตรใช้งานไม่ถึง 3 เดือนก็จะเสียค่าบัตรไป 7 HKD เช่น ก่อนกลับไทยมีเงินในบัตร 10 HKD เวลาไปแลกคืนก็จะได้ 50 (มัดจำ) + 10 (มูลค่าในบัตร) – 7 (ค่าบัตร) = 53 HKD

ถ้าจะมาเที่ยวฮ่องกงผมว่าซื้อบัตร Octopus สะดวกสุดเลยครับ จะซื้อบัตรเป็นเที่ยวๆ ไปก็ไม่สะดวก ขึ้นรถเมล์ ถ้าจ่ายด้วยเงินสดเกินราคาค่าโดยสาร ก็ไม่ทอนนะครับ

จากสนามบินเราสามารถเข้าเมืองได้ 3 วิธีด้วยกัน

1. รถไฟฟ้า Airport Express เป็นรถไฟฟ้าวิ่งเข้าเมืองโดยเฉพาะ รวดเร็ว แต่มีจอดอยู่ไม่กี่ป้าย ต้องไปต่อ Airport Express Shuttle Bus อีกทีเพื่อไปยังโรงแรม ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง ประมาณ 160-180 HKD

2. นั่งรถ Bus ไปยังสถานีรถไฟฟ้า Tung Chung สถานีนี้อยู่ใกล้กับสนามบิน จากนั้นก็สามารถเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าได้ทุกสาย

3. นั่งรถ Bus เข้าเมือง จากสนามบินมีรถ Bus หลายสาย หลายเส้นทาง ราคาประมาณ 20-30 HKD วิธีนี้จะใช้เวลาเยอะหน่อย

ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินทางแบบไหนดี ให้ลองดูป้ายรถเมล์ หรือ สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่พักเราครับ อันไหนไกลกว่า เดินน้อย ก็เลือกอันนั้นแหล่ะครับ

อย่างของผมพักที่ Hotel MK เป็นโรงแรมที่อยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้า Yau Ma Tei และ Mongkok ถ้ามาโดยรถไฟฟ้า ก็จะลำบากต้องเดินแบกกระเป๋าเข้าโรงแรม แต่ถ้าผมนั่งรถ Bus สาย A21 ลงป้ายรถเมล์ ที่ 8 Sino Centre, Nathan Road, Hong Kong ข้ามถนนมาจะเจอกับโรงแรม Hotel MK จะสะดวกกว่ามาด้วยรถไฟฟ้า

ดูป้าย Bus Terminus ก่อนว่า รถ A21 จอดตรงไหน

การขึ้นรถเมล์ที่ฮ่องกงนั้น เค้าจะมีป้ายบอกครับว่านี่เป็นป้ายของสายอะไร แล้วก็จะมีรั้วกั้นให้ยืนเรียงแถวเพื่อความเป็นระเบียบ ยืนรอได้ซักพักรถเมล์สาย A21 ก็มา สาย A21 ค่ารถ 33 HKD ครับ การขึ้นรถก็ขึ้นที่ด้านหน้า เอาบัตร Octopus ไปแปะที่ข้างคนขับ แล้วเดินเข้าไปด้านใน จะมีคอกให้วางกระเป๋า เราก็วางกระเป๋าตรงนั้นแล้วเดินขึ้นมานั่งที่ชั้นบน หรือจะนั่งด้านล่างก็ได้ครับ แต่มีที่นั่งไม่ค่อยเยอะ ส่วนขาลงไม่ต้องแปะบัตร Octopus นะครับ

ใครที่พก Ipad หรือ Smart phone ที่สามารถต่อ wifi ได้เอามาใช้งานได้เลยครับ บนรถเค้ามี Free wifi ให้ใช้

ช่วงนี้บ้านเรากำลังน้ำท่วม เปิดเนตเข้าไทยรัฐ ดูข่าวหน่อย

ที่ด้านหน้าของรถจะมีข้อความบอกว่าถึงที่ไหนแล้ว ป้ายหน้าเป็นที่ไหน ผมลงป้ายที่ 8 พอรถจอดที่ป้าย 7 ก็เตรียมตัวลงไปเอากระเป๋าได้เลย

อากาศที่ฮ่องกงช่วงที่ผมไป ไม่แตกต่างจากไทยเท่าไหร่ คือฝนตก ชื้น อุณหภูมิน่าจะประมาณ 26-28 องศาได้

สำหรับคนที่พักที่ Hotel MK (Mongkok) นะครับ ให้ลงที่ป้ายรถเมล์ ที่ 8 Sino Centre แล้วข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม เดินไปทางขวา 1 ล๊อค แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับ Lobby โรงแรม

ผมจอง Hotel MK กับ agoda ไป 3 ห้อง 2 คืน ราคาอยู่ที่ 20,209 บาท ตกห้องละ 3,368 บาท / คืน โรงแรมที่ฮ่องกงค่อนข้างแพงครับ แพงกว่าสิงคโปร์เสียอีก ห้องเล็กด้วย และโรงแรมที่ฮ่องกงส่วนมากจะไม่มีอาหารเช้าให้นะครับ ผมคิดว่าเค้าคงไม่มีสถานที่เพียงพอมั้งครับ

Link. Hotel MK, เช็คราคา Hotel MK

ที่ผมเลือก Hotel MK เพราะทำเลเค้าค่อนข้างโอเคอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ย่านชอปปิ้ง หาของกินง่าย และราคาของ Hotel MK ก็ถือว่าไม่แพงนะครับถ้าเทียบกับโรงแรมอื่น

เมื่อเข้าไปถึงโรงแรมก็จัดการ Check in เค้าจะขอพาสปอร์ตเราไปทุกคน เอาไปถ่ายเอกสาร แล้วก็ให้เราเซ็นชื่อ สุดท้ายก็ขอมัดจำไป 1,500 HKD หรือเท่ากับ 500 HKD / ห้อง ตีเป็นเงินไทยก็มัดจำห้องละ 2,000 บาท โหดจริงๆ แต่ไม่เป็นไรครับ เวลา Check out เราก็ได้คืน

ที่พักเราอยู่ที่ชั้น 17 โรงแรมนี้จะแยกส่วน Lobby และลิฟต์ออกจากกัน ใครคิดจะลักไก่แอบนอน 3-4 คน ต่อห้องเค้าก็ไม่รู้หรอกครับ แต่เค้าก็คงไม่สนใจหรอก เพราะอะไรเหรอครับ

เพราะห้องมีขนาดเล็กมาก วางเตียง 2 เตียงก็จะเต็มห้องแล้วละ มีช่องทางเดินตรงกลางนิดนึง แต่ถ้าได้ห้องที่ไม่ใช่ห้องมุมจะเล็กกว่านี้อีกครับ กระเป๋าเดินทางต้องสอดไว้ใต้เตียงครับ ไม่มีที่จะวางจริงๆ แต่ห้องนี้ยังพอมีดีที่มีหน้าต่างมองเห็นข้างนอก ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดมาก

ในห้องมีกาต้มน้ำ + ชา + LCD TV+ ไดร์เป่าผม ให้ ส่วนห้องน้ำมี ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ น้ำอุ่น

ใครต้องการใช้ wifi ที่ Hotel MK มี wifi ให้ใช้ฟรีด้วยนะครับ Password wifi จะอยู่ที่ปลั๊กเสียบโทรศัพท์ ด้านบนปลั๊กโทรศัพท์จะเป็นปลั๊กไฟ ที่ฮ่องกงใช้ไฟ 200/220 VAC แรงดันไฟเท่ากับบ้านเราครับ แต่รูปลั๊กจะต่างกัน ที่ Hotel MK จะมี Universal adaptor ให้ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เอาไปจากไทยก็เสียบปลั๊กใช้ได้เลยครับ

ห้องน้ำก็ค่อนข้างเล็กครับ แต่ว่าดูใหม่และสะอาดใช้ได้ครับ สิ่งที่เราจะต้องซื้อเพิ่มก็คือน้ำดื่มครับ แต่ไม่ต้องห่วงเยื้องๆ กับโรงแรมมี 7-eleven อยู่ 2 ร้าน ร้านอาหารก็หาง่าย

หลังจากเก็บของเสร็จแล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน เราเลือกร้านที่อยู่ติดถนน มีคนกินอยู่ในร้าน ร้านนี้อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมครับ ขายพวกอาหารจานเดียว แนวข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูกรอบ การสั่งอาหารที่ร้านก็ชี้รูปเอา ร้านตามห้องแถวจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ครับ จะพูดจีนใส่เราอย่างเดียวเลย

เมนูนี้เรียกว่าอะไรไม่รู้ครับจานละ 38 HKD

จานนี้คล้ายกับสปาเกตตี้ จานใหญ่มาก ผมว่ากินได้ 2 คน เลย จานละ 39 HKD

ที่ร้านอาหารในฮ่องกงจะมีชาให้กินฟรีนะครับ ก็ประหยัดค่าน้ำไปได้ ส่วนการบริการก็จะโฉงเฉง โหวกเหวก ตามประสาคนจีนนะครับ

กินข้าวกัน 6 คนหมดไป 230 HKD แต่ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ เลยต้องแวะ 7-eleven ก่อนกลับเข้าโรงแรม

ราคาน้ำเปล่าที่ฮ่องกงแพงกว่าเราไม่มากเท่าไหร่ ถ้าบ้านเราขาย 10 บาท ที่ฮ่องกงก็ขายประมาณ 15 บาท ดังนั้นไม่ต้องแบกมาจากกรุงเทพฯ ให้หนัก

ส่วนเบียร์ผมว่าถูกกว่าบ้านเรานะครับ อย่างไฮนาเก้น กระป๋องใหญ่ราคา 12 HKD มีโปรโมชั่น 2 กระป๋อง 21.9 HKD ด้วย

การซื้อของที่ 7-eleven เค้าไม่มีถุงให้เรานะครับ ถ้ามีถุงผ้าก็เอาไปใส่ด้วย ถ้าไม่ได้เอาไป แล้วอยากใส่ถุงเค้าจะคิดค่าถุงใบละ 0.5 HKD เหมือนกับว่าเป็นนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมนะครับ ต่างกับที่บ้านเราหมากฝรั่งแผงนึงยังใส่ถุงให้เลย

กลับถึงห้องก็เอาเงินมากองๆ ไว้ที่เตียงแล้วถ่ายรูป กองนี้เกือบ 3 หมื่นครับ คืนแรกที่ฮ่องกง นอนไม่ค่อยหลับเลยครับ ทั้งๆ ที่เหนื่อยและอยากนอนมาก คงเป็นเพราะแปลกที่ และห้องไม่มืดสนิท เลยหลับยาก

ตอนเช้าก็ตื่นมาแบบเพลียๆ นัดรวมพลกัน 8 โมงเช้า เนื่องจากว่าโรงแรมไม่มีอาหารเช้าให้ เราเลยไปกินติ่มซำกันครับ หลักการเลือกร้านทานอาหารของผมก็จะดูร้านที่คนกินพอประมาณหน่อย ร้านอยู่ใกล้ถนน ที่คนเดินไปมา ร้านพวกนี้ราคาจะไม่แพง

ตอนแรกก็กลัวว่าจะสั่งอาหารไม่เข้าใจ เพราะเราพูดจีนกันไม่ได้ โชคดีว่าร้านนี้มีเมนูแบบรูปภาพเราก็แค่ใส่จำนวนลงไปว่าจะเอากี่ชุด

ราคาติ่มซำ ในแต่ละช่วงเวลาจะไม่เท่ากันด้วยนะครับ ถ้าทานในช่วงเช้า ชุดละ 9.8 HKD ถ้าทานในเวลาอื่นก็ 12.8, 15.8, 18.8 HKD

ราคาก็ไม่แพงนะครับ พอๆ กับทานที่บ้านเราเลย

บรรยากาศในร้าน นั่งสบายๆ

อาหารมาแล้วครับ ทำได้น่ากินดี 1 ชุดนี่ก็ใหญ่เหมือนกัน เกี๊ยวกุ้งนี่กุ้งเเต็มๆ เนื้อแน่นๆ อร่อยดีครับ

เวลามากินที่ร้านติ่มซำ เค้าจะยกชุดถ้วยมาให้เรา และชาม 1 ใบ กาน้ำ 2 ใบ เป็นน้ำร้อน 1 ใบ น้ำชา 1 ใบ เค้าจะมีธรรมเนียมอยู่ว่าให้เราเทน้ำร้อนลงในชามแล้วเอาถ้วย ช้อน เราไปแกว่งล้าง ในน้ำร้อน

ส่วนกาน้ำชาก็ไว้กินครับ ถ้ารินจนหมดแล้วก็เอาน้ำร้อนเติมเอา เคยอ่านมาว่าถ้าเรากินหมดแล้วให้เปิดฝาไว้ แล้วเค้าจะมาเติมให้ แต่ก็ไม่มีใครมาเติมให้ครับ เลยเรียกพนักงานมาเติม

ติ่มซำมื้อนี้ กินกัน 6 คน หมดไป 248 HKD

ทานมื้อเช้ากันอิ่มแล้วก็ไปดูงานกันถึงบ่ายแก่ๆ งานจัดที่ Asia world expo ครับ ใกล้ๆ สนามบิน รายละเอียดในงานจะไม่ขอกล่าวถึงนะครับ เน้นๆ ไปที่เรื่องเที่ยวดีกว่า

ขออธิบายเกี่ยวกับรถไฟฟ้าในฮ่องกงหน่อยครับ รูปด้านบนเป็นเครื่องจะหน่ายบัตรโดยสารแบบเป็นเที่ยวๆ สำหรับคนที่เดินทางไม่มาก

การใช้บริการรถไฟฟ้า ก็เอาบัตร Octopus แนบที่ทางเข้า แล้วเดินเข้าไปด้านใน เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา

รถไฟฟ้าที่ฮ่องกงมีขบวนที่ยาวมากครับ เวลามีรถไฟฟ้าเข้ามาจะวิ่งเร็ว จนนึกว่าจะไม่จอดสถานีนี้ แต่สุดท้ายก็ขับช้าลงแล้วก็จอด

ภายในรถไฟฟ้า หากขึ้นรถไฟฟ้าไป เจอคนฮ่องกง กอด หอมแก้มกันบนรถ ไม่ต้องตกใจนะครับ คนฮ่องกงจะมีวัฒนธรรมบางอย่างเหมือนชาติตะวันตก แต่การแสดงออกจะเป็นแนวน่ารัก แสดงความรักให้กันครับ

เมื่อถึงจุดหมายปลางทางแล้ว ก็สามารถนำบัตร Octopus ไปแตะกับเครื่องเช็คมูลค่าบัตร เจ้าเครื่องนี้จะรายงานการใช้งาน 4 ครั้งล่าสุดให้เราดูด้วย

หลักจากเสร็จจากงานที่ Asia world Expo แล้ว เราก็ไปเที่ยวกันที่ที่ย่าน Tsim Sha Tsui ไปดู Avenue of Star และ โชว์ไฟ Symphony of Lights ฝั่งเกาะฮ่องกง

การเดินทางมาที่ Avenue of Star ก็นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานี Tsim Sha Tsui แล้วดูป้ายทางออกที่มาโผล่ที่ Avenue of Star รู้สึกว่าจะเป็นทางออก J2 ครับ

และแล้วเราก็มาถึง Avenue of Star วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเลยครับ ฝนตกทั้งวัน ตอนนี้ก็ตกๆ หยุดๆ สลับกัน เราเริ่มต้นเดินจากรูปปั้นตุ๊กตาทองฮ่องกง

Avenue of Star เป็นทางเดินเรียบอ่าววิคตอเรีย สามารถเดินได้ยาวหลายร้อยเมตร ระหว่างทางก็จะเจอกับรอยประทับมือของดาราฮ่องกง รูปปั้นที่เกี่ยวข้องกับการทำภาพยนต์ มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปหลายุม

อากาศแบบนี้คนเลยมาเดินน้อย

ถ้าฝนไม่ตกบรรยากาศคงจะดีมาก มองเห็นไฟที่ตึกฝั่งฮ่องกง มีลมเย็นๆ พัดมา

เดินเล่นแถวนี้เจอคนไทยเยอะเหมือนกันครับ มีทั้งมาเป็นคู่ และมาเป็นครอบครัว อุ่นใจดีครับ ไม่เหมือนไปยุโรปมีแต่ฝรั่งหัวทอง เราดูแปลกๆ ไปเลย

รูปปั้นบรูซ ลี นักแสดงชื่อดังชาวฮ่องกง ที่ไปเกิดที่อเมริกา

เมื่อถึงเวลา 20.00 การแสดง Symphony of Lights ก็เริ่มขึ้นครับ มีเสียงเพลงดังขึ้น ไฟที่ตัวตึกก็กระพริบๆ เป็นจังหวะตามเสียงเพลง ฝนก็ตกปรอยๆ ก็ยืนกางร่มดูการแสดงกันครับ

การแสดง Symphony of Lights ใช้เวลาประมาณ 15 นาที แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าครับ ไฟสวยดีจริงๆ มีการยิงแสงเลเซอร์จากยอดตึกขึ้นไปด้านบน อลังการดีครับ

ดูการแสดง Symphony of Lights เสร็จเราก็กลับโรงแรมกัน นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Yau Ma Tei แล้วเดินอีก 10 นาทีก็ถึงโรงแรม เดินผ่านร้าน Sasa ร้าน Sasa จะเป็นร้านขายเครื่องสำอางของผู้หญิง มีของให้เลือกเยอะครับ พวกน้ำหอมก็ราคาไม่แพง สาวๆ คนไทยชอบมาชอปปิ้งที่ร้านนี้ครับ

นอกจากร้าน Sasa แล้วยังมีร้าน Bonjour ที่ขายของคล้ายๆ กับร้าน Sasa เหมือนกับว่า 2 ร้านนี้เป็นคู่แข่งกันครับ

เกือบโดนฟันที่ฮ่องกง!!!

เนื่องจากว่าเราติดใจติ่มซำเมื่อตอนเช้า เลยคิดว่าจะแวะไปกินที่ร้านเดิม ร้านนี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ครับ ตอนเย็นเห็นมีพนักงานเชียร์แขกอยู่ด้านล่างด้วย เค้าถามว่าเรามากันกี่คน พอบอกมากัน 6 เหมือนจะตกใจ แล้วก็ยิ้ม

พอเข้าไปในร้าน ก็พบว่าจานชาม แก้วน้ำดูดี กว่าเมื่อเช้า แก้วน้ำก็เป็นแชมเปญ การบริการก็ดูดีกว่า เลยรู้แล้วว่าตอนเช้าขายติ่มซำ ตกเย็นให้อีกเจ้ามาทำร้านอาหารภัตตาคาร ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว เลยขอเมนูมาดูถ้าไม่แพงมากก็พอจะสู้อยู่

พอเปิดเมนูมาดู อาหารก็แพงใช้ได้เลยครับ แล้วพนักงานรับออร์เดอร์ เหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับเรา พยายามให้เราสั่งเมนูแพงๆ เปิปพิสดาร เช่นนกพิราบ 2 ตัว 400 กว่า HKD (1600 บาทกว่า!!!) แล้วก็ปลาอะไรไม่รู้ มีแต่แพงๆ ทั้งนั้น แล้วเมนูก็เป็นภาษาจีนทั้งนั้น รูปก็ไม่ค่อยมี

ผมเลยไม่ฟังที่เค้าแนะนำ แล้วเปิดดูจากเมนูเล่มนึงแทน เมนูเล่มนี้จะเป็นของพื้นๆ เช่นผัดผัก ไก่อบ พอจิ้มอันนี้ เค้าบอกไม่มี จิ้มอีกอันนึง บอกไม่มี สุดท้ายก็ดึงเมนูไปจากมือผมว่าเล่มนี้ไม่มีๆ จะให้สั่งตามที่เค้าบอก

สุดท้ายเลยเอาตัวรอดด้วยการสั่งเมนูธรรมดาๆ สั่งมา 3 อย่าง ไม่สนใจว่าจะกินอิ่มหรือไม่ เอาแค่รอดไปจากร้านนี้ได้ก็พอ

เมนูที่สั่งก็มี 1. ไก่ย่าง 1 ตัว หนังด้านนอกจะกรอบ เนื้อด้านในก็เหมือนไก่ย่างทั่วไป อร่อยใช้ได้ครับ 2. ผัดหัวปลา เป็นหัวปลาหัวใหญ่ เอามาผักกับผักขิง ข่า จานนี้แทบไม่มีอะไรให้กินเลย หัวปลามีเนื้อจะที่ไหนกัน 3. ซี่โครงหมูอบ รสชาติหวานๆ หน่อย แต่มีเนื้อติดมานิดเดียวเอง แทะยาก

สั่งมา 3 อย่างเท่านั้นแหล่ะครับ ไม่มีอารมณ์ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย กินเสร็จเช็คบิล หมดไป 389 HKD + ทิปไป 11 HKD ค่อยโล่งใจหน่อย ราคานี้พอรับได้

กินข้าวเสร็จ ได้ขวัญและกำลังใจคืนมา เดินเข้าโรงแรมพร้อมเบียร์ TSINGTAO ที่ซื้อมาจาก 7-eleven 6 ขวด กะเอาให้น๊อคแล้วหลับสบายไปเลย

ข้างๆ โรงแรมมีรถ Minibus วิ่งไปที่ถนน Jordan เข้าใจว่าเป็นรถที่วิ่งกลางคืน ที่ฮ่องกงคนนอนกันดึกครับ เที่ยงคืน – ตี 1 ยังเดินกันเต็มถนนเลย

เมื่อตอนกลางวันผมแวะไปซื้อ Sim card ที่ 7-eleven มาครับ PEOPLES IDD Talk Prepaid SIM Card ราคา 60 HKD มีเงินในซิม 60 HKD เอาไว้โทรกลับไทย เป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมที่บ้าน

การใช้งานซิมนี้ต้อง Activate ก่อนครับ เริ่มจากใส่ซิมไปในโทรศัพท์แล้วเปิดเครื่อง กดโทรออกที่เบอร์ 193193 หลังจากนั้นจะมี Message เข้ามาที่โทรศัพท์เราว่าซิมนี้เบอร์อะไร มีมูลค่าเงินเท่าไหร่

– ส่วนการโทรกลับไทย ให้กด 001 ตามด้วย 66 (รหัสประเทศไทย) และตามด้วยเบอร์โทร สมมุติว่าต้องการโทรไปยังเบอร์ 086 6404025 ให้กด 001 66 86 640 4025 แล้วกดปุ่มโทรออก

– เช็คยอดเงินกด *#130# แล้วกดปุ่มโทรออก

ค่าโทร

– โทรในฮ่องกง นาทีละ 0.25 HKD / นาที

– โทรกลับไทย ค่าธรรมเนียมระหว่างประเทศ 4.10 + ค่าโทร 0.25 = 4.35 HKD / นาที

ก็ถือว่าเป็นเรทที่แพงเหมือนกันครับ จริงๆ แล้วมีซิมที่โทรกลับไทยราคาถูกกว่านี้เช่นซิม One2free หรือ CSL แต่ผมหาซื้อไม่ได้ครับ ก็ต้องใช้อันนี้แก้ขัดไป

วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วครับ ที่อยู่ในฮ่องกง ฝนยังคงตกลงมาปรอยๆ สลับกับหยุดเป็นพักๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการไปเที่ยวของเราได้ ฝนตกก็กางร่มไป ดีกว่าอยู่ห้องรอฝนหยุด

มื้อเช้าทานอาหารเช้าง่ายๆ Set American Breakfast จานนี้ราคาประมาณ 23 HKD รู้สึกว่าคนฮ่องกงจะกินแต่ชา ไม่ค่อยกินกาแฟ ผมถามหากาแฟ ทางร้านบอกว่าไม่มี ต้องไปซื้อกาแฟกระป๋องที่ 7-eleven กินครับ ราคากระป๋องละ 8 HKD

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่อยู่ฮ่องกง มีเวลาเที่ยวเต็มวัน ผมวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยว The Peak กับ นองปิง แล้วไปช๊อปปิ้งที่ Citygate Outlet ที่สถานี Tung Chung เลย Check out ห้องแล้วขอฝากกระเป๋าไว้กับโรงแรม ไว้เสร็จจากเที่ยว The Peak จะมาเอากระเป๋า

Check out เสร็จก็ได้เงินมัดจำคืนมา 1,500 HKD ที่ Lobby ของโรงแรมมีคอมพิวเตอร์ + อินเตอร์เนตให้ใช้ฟรีด้วยครับ มีให้ใช้อยู่ 2 เครื่อง

ที่ด้านหน้าของโรงแรม MK จะเป็นสนามเด็กเล่น และที่ออกกำลังกายเบาๆ ของอากง อาม่า

เดี๋ยวเราจะนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Yau Ma Tei ไปลงที่สถานี Central เกาะฮ่องกงกันนะครับ

ที่ทางม้าลายจะมีไฟเขียว ไฟแดง คนข้ามอยู่ รอจนไปเขียวคนข้ามแล้วค่อยไปนะครับ

การขึ้นบันไดเลื่อนของคนในฮ่องกงจะยืนชิดขวา ให้คนที่รีบเดินในช่องซ้าย

ตอนนี้เราโผล่มาที่เกาะฮ่องกงแล้ว รถไฟฟ้าลอดใต้ทะเลมา ตึกที่เห็นเป็นรูปกากบาทนั้นเป็นตึก Bank of China Tower (BOC) เป็นตึกสูงอันดับ 3 ของฮ่องกง มีจำนวนชั้นถึง 70 ชั้น ที่ตัวตึกจะมีมุมหนึ่งเหมือนสันคมมีด คงเป็นหลักฮวงจุ้ยแสดงถึงพลัง อำนาจ

บนตึก Bank of China ชั้นที่ 43 เราสามารถขึ้นไปชมวิวได้ด้วยครับ ชมฟรี จุดชมวิว (Observation deck) เปิดวันจันทร์ – ศุกร์ 9.00 – 17.00 น. ต้องใช้ Passport ในการเข้าชม วิวที่เห็นนั้นจะเป็นวิวอ่าว Victoria และฝั่งเกาลูน ซึ่งจะไม่สวยเท่าวิวที่มองจาก The Peak

ตึกที่อยู่ตรงข้ามกับคมมีด ก็จะแก้ฮวงจุ้ยของคมมีดด้วยการตั้งปืนใหญ่ไว้ที่ยอดตึก เอาไว้ข่มกันครับ

เดี๋ยวเราเดินจากสถานีรถไฟฟ้า Central ไปที่ The Peak Tram กันครับ เป็นทางเดินขึ้นเขานิดๆ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที

ที่จำหน่ายตั๋วขึ้นรถราง The Peak ถ้ามาตอนเย็นคนจะเยอะกว่านี้มาก แถวจะล้นออกไปด้านนอก

The Peak

ว่ากันว่ามาฮ่องกงแล้วต้องมาชมวิวที่ The Peak (เดอะ พีค) ครับ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง การขึ้นไปยังยอดเขา The Peak นั้น นิยมขึ้นไปด้วยรถราง รถรางที่ขึ้นไปยัง The Peak นั้นมีมาตั้งแต่สมัย ค.ศ.1988 สมัยก่อนนั้น เป็นรถจักรไอน้ำ แต่สมัยนี้ได้เปลี่ยนรถรางไฟฟ้าที่นำเข้ามาจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์

เกี่ยวกับ The Peak

The Peak หรือ Victoria Peak เป็นยอดเขาที่สูง 552 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ในเกาะฮ่องกง เป็นจุดชมวิว ชมไฟตึกสูง ที่สวยที่จุดในฮ่องกง ที่ด้านบนของ The Peak มีอาคาร Peak Tower เป็นอาคารรูปชาม หรือ ครึ่งวงกลมสูง 7 ชั้น ภายในอาคารมีพิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งมาดามทุสโซ่ (Madame Tussauds) ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน

การเดินทางไปยัง The Peak สามารถไปได้ 2 ทางครับ

1. ขึ้นด้วยรถราง (Tram) เป็นการเดินทางที่สะดวก และเร็วสุด ได้บรรยากาศแบบคลาสสิค แต่ก็มีข้อเสียคือราคาแพง และรอคิวนานในช่วงเวลาเย็น-หัวค่ำ

2. ไปด้วยรถเมล์สาย 15 จะได้ความตื่นเต้นกับเส้นทางขึ้นเขา สำหรับคนที่ชอบความเสียวแนะนำให้นั่งชั้น 2 ของรถเมล์ ฝั่งหน้ารถ ค่ารถขึ้นไปยัง The Peak ประมาณ 10 HKD เท่านั้น ป้ายรถเมล์สาย 15 จะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า Central ถ้าเริ่มจากสถานีรถไฟฟ้า Central ให้เดินมาที่ชั้นล่างของ Exchange square จะเป็นลานจอดรถเมล์ทุกสาย (ไม่ต้องเดินไปไกลถึงท่าเรือ Star ferry)

Note. อย่างสับสนรถเมล์สาย 15 กับ 15C นะครับ สาย 15C จะจอดที่ The Peak Tram ไม่ขึ้นไปด้านบน

เนื่องจากว่าเวลาเรามีน้อย เลยนั่งรถรางไปดีกว่าครับ

ค่าตั๋วรถราง The Peak ไป – กลับ + ชมวิวที่ The Peak Tower (Sky Terrace) = 65 HKD

ได้ตั๋วแล้วก็เข้าไปด้านในเลยครับ

ที่ด้านหน้าจะมี The Peak Tram Historical Gallery เป็นรถรางและเครื่องจักรในสมัยก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนขบวนรถรางเป็นสีแดง ที่ใช้ในปัจจุบัน

การขึ้นรถรางนั้นให้หันหน้าไปทางยอดเขา แล้วเลือกที่นั่งทางขวามือครับ จะเห็นวิวสวย รอรถไม่นานครับ แปปเดียวก็ได้ขึ้น

บรรยากาศในรถราง

รถรางใช้เวลาประมาณ 10 นาที กับระยะทาง 1.4 กิโลเมตร ในระดับความเอียง 27 องศา ก็มาถึงที่ยอดด้านบน สถานีของ The Peak จะอยู่ในอาคาร The Peak Tower ในนี้จะเป็นห้าง ร้านขายของฝาก ร้านขายของ Brand name เป็นแหล่งชอปปิ้งที่สูงที่สุดในฮ่องกงแล้วครับ

หุ่นขี้ผึ้งบรูซ ลี หน้าพิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งมาดามทุสโซ่ (Madame Tussauds)

Peak Market

เป้าหมายของเราอยู่ที่ชั้นบนสุด ดาดฟ้าชมวิว

ขึ้นมาอยู่ที่ The Peak Terrace แล้วครับ เป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา เดินได้โดยรอบ วิวสวยจริงๆ มองเห็นตึกฝั่งฮ่องกงและเกาลูน ได้ชัด เสียดายว่าวันนี้เมฆเยอะ ฟ้าไม่เปิด จริงๆ แล้วถ้ามาชมตอนเย็นๆ – หัวค่ำจะสวยกว่านี้เยอะ มองเห็นไฟที่ตึกต่างๆ สวยงาม แต่ตอนกลางคืนเนี่ย คนเยอะมากครับ รอคิวขึ้นรถรางกันเป็นชั่วโมงเลย บนดาดฟ้าคนก็เยอะถึงขั้นเบียดกันเลย ก็ลองตัดสินใจดูนะครับว่ามาตอนไหนดี

มีรั้วกระจกกั้นให้ เพื่อความปลอดภัย ตึกสูงๆ หลายตึก อยู่ติดกันแบบนี้บ่งบอกว่าฮ่องกงมีพื้นที่จำกัดมาก แต่ประชากรอยู่กันเยอะ เลยต้องสร้างตึกสูงๆ เทียบกับบ้านเราแล้ว พื้นที่เหลือเฟือมาก แต่มากระจุกกันอยู่ที่กรุงเทพฯ

เห็นบ้านที่อยู่ตามยอดเขาไหมครับ เป็นบ้านของมหาเศรษฐี นักแสดง นักธุรกิจฮ่องกง แค่ห้องเท่ารูหนูธรรมดายังแพงหูฉี่เลย แล้วบ้านบนยอดเขา หน้าทะเล หลังภูเขา ตามฮวงจุ้ยที่ว่าดีเยี่ยม จะแพงขนาดไหนกัน

มองจากด้านบนเห็นรถราง (The Peak Tram) วิ่งผ่านมาพอดี เลยดักรอถ่ายรูปไว้

ที่กล่องหัวใจสีม่วง มีข้อความว่า The Peak I love you ผมเข้าใจว่าให้คู่รัก เขียนข้อความของตัวเองในกระดาษรูปหัวใจ แล้วผูกติดไว้ในกล่อง ไอเดียดีครับไว้ครั้งหน้าพาแฟนมา จะมาเขียนชื่อไว้ตรงนี้ครับ

ภาษาจีน แปลว่าอะไรครับ ?

กล้องส่องทางไกล ครั้งละ 5 HKD ไม่มีใครส่องเลยครับ

ชมวิวจนเบื่อแล้ว ลงมาที่ด้านล่างของ The Peak Tower บ้างดีกว่า

อันนี้ผมเข้าใจว่าเป็นรถรางขึ้น The Peak สมัยก่อน เห็นมีข้อความติดไว้ว่า 100 Year Celebrate 1888 – 1988 โอ้ ผ่านมา 123 ปีแล้ว

อาคารรูปชาม หรือครึ่งวงกลม เป็นที่ตั้งของจุดชมวิว The Peak Terrace ที่เราขึ้นไปชมวิวเมื่อกี้นี้ครับ

ชมวิวจาก The Peak เสร็จรีบทำเวลา เพื่อที่จะไปเที่ยวที่นองปิงต่อ ขาลงเรานั่งรถรางลงเหมือนขามา รอคิวไม่นานครับ คงเป็นเพราะว่าช่วงเวลาบ่ายกว่าๆ คนยังไม่ค่อยเยอะ

รูปบนเป็นรถราง (Tram) ที่วิ่งในเกาะฮ่องกงเท่านั้นครับ

Ngong Ping 360 (นองปิง)

เราแวะกินข้าวกลางวัน และเอากระเป๋าที่โรงแรม มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้า Tung Chung (อ่านว่า ทงชง) เพื่อนั่งกระเช้าไปยังนองปิง (Ngong Ping 360) อยู่มา 3 วันรู้สึกว่าขนส่งมวลชนบ้านเค้าน่าใช้ดีครับ มีทั้งรถไฟฟ้า รถราง รถเมล์ รถเมล์เค้านั่งสบายเป็นรถเมล์ 2 ชั้น มี wifi ให้เล่นฟรีด้วย ค่าโดยสารก็ไม่แพง ถ้าบ้านเราทำได้แบบนี้เมื่อไหร่ แล้วครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ผมเชื่อว่ารถหายติดแน่นอนครับ

ข้อความยินดีต้อนรับ หลายภาษาที่บันไดขึ้นสถานีกระเช้าหนึ่งในนั้นมีภาษาไทยอยู่ด้วย

ถึงแล้วครับสถานีกระเช้านองปิง ยังกับเป็นสถานีร้าง ไม่มีคนเลยสงสัยเค้าไปขึ้นกระเช้ากันแต่เช้าแล้วมั้งครับ เคยอ่านมาว่าช่วงสายๆ เป็นช่วงพีคของนองปิงเลยต้องรอขึ้นกระเช้า 1-2 ชั่วโมง แต่ถ้าใครซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าล่วงหน้าทางเนตหรือทางเอเจนซี่ ก็จะไม่เสียเวลาเข้าคิวซื้อตั๋วครับ

ใครที่มีสัมภาระสามารถฝากไว้ที่ตู้ Locker ในห้าง Citygate Outlet หรือที่สถานีกระเช้านองปิงก็ได้ครับ เรื่อง Locker ผมจะอธิบายด้านล่างนะครับ เนื่องจากว่าขาไปรีบมากๆ เลยไม่ทันได้ถ่ายรูปมา

การเดินทางไปยังนองปิงไปได้ 3 ทางครับ 1. ทางรถยนต์ 2. ทางกระเช้าลอยฟ้าที่พาดผ่านภูเขา ไปทางกระเช้าจะใช้เวลาน้อยกว่าทางรถครับ เพราะกระเช้าเดินทางตรงไม่ต้องโค้งไปตามถนน 3. ทางเท้า เหมาะสำหรับผู้ที่แข็งแรงต้องการบรรยากาศธรรมชาติ ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมง โดยปกติแล้วไม่ค่อยมีใครเดินครับ ค่อนข้างเปลี่ยว

กระเช้านองปิงจะมีอยู่ 2 แบบ 1. กระเช้าธรรมดา 2. กระเช้าคริสตัลพื้นด้านล่างเป็นกระจกใส ราคากระเช้าธรรมดาจะถูกกว่าครับ ไป – กลับคนละ 115 HKD พอดีว่าเราไปถึงเกือบจะเย็นแล้ว (16.30 น.) คนเลยไม่ค่อยจะมี

ก่อนขึ้นกระเช้าถามเค้าว่ากระเช้าเที่ยวสุดท้ายกี่โมง เค้าตอบมาว่า 18.00 น. พอไหวอยู่ครับ

จากการกะด้วยสายตา 1 กระเช้าจุคนได้ประมาณ 10 คน ถ้าขึ้นกระเช้าช่วงที่คนเยอะ เค้าก็จะพยายามให้คนขึ้นกระเช้าให้เต็ม คนจะได้ไหลไปไวไว แต่ถ้ามาช่วงบ่าย ก็นั่งกันสบายๆ กระเช้าละ 4 คน

กระเช้าออกแล้วครับ

ถ่ายรูปบัตร NGONG PING 360 ไว้เป็นที่ระลึก

คอนโดสูงติดทะเล

กระเช้ากำลังข้ามภูเขา ทางซ้ายมือเป็นสนามบินเชก แลป ค๊อก (Chek Lap Kok)

ด้านล่างมีน้ำตกเล็กๆ มีทางเดินคู่ขนานกับกระเช้าด้วย ด้วยระยะทางของกระเช้า 5.7 กิโลเมตร ถ้าเป็นทางเดินคงเยอะกว่านี้ แต่ก็มีคนเดินนะครับ

ประมาณ 30 นาที เราก็ถึงหมู่บ้านนองปิง

คนค่อนข้างน้อยเป็นพิเศษ เนื่องจากเย็นมากแล้ว

ร้านขายของที่ระลึก

เข้าสู่หมู่บ้านนองปิง (Ngong Ping Village)

หมู่บ้านนองปิงเป็นโซนร้านอาหาร ขายของ ไม่ใช่หมู่บ้านเก่าแก่อะไรนะครับ

มองเห็นพระใหญ่ พระพุทธรูปเทียนถาน (Tian Tan Buddha Statue) จุดหมายปลายทางของเราแล้วครับ

ทางขึ้นไปด้านบน เหมือนจะสูงมาก แต่ก็ยังน้อยกว่าพระธาตุดอยสุเทพครับ เดินๆ หยุดๆ แปปเดียวก็ถึง จำนวนขั้นบันไดจากด้านล่างไปด้านบน 268 ขั้นครับ ประตูทางขึ้นจะเปิดถึง 17.30 น.

Tian Tan Buddha Statue

ที่ด้านบนมีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูงถึง 34 เมตร ทำจางทองสัมฤทธิ์ ถ้าเป็นบ้านเราน่าจะเป็นหลวงปู่ทวด วัดห้วยมงคลที่ใหญ่ที่สุด

เหล่าเทวดา นางฟ้า รอบๆพระใหญ่

ที่ฐานพระพุทธรูป มี พระบรมสารีริกธาตุ และ พระพุทธรูปหยกขาวจากศรีลังกา ถ้าต้องการเข้าชมด้านในต้องเสียค่าใช้จ่าย 60 HKD ด้วย

รอบๆ พระใหญ่เป็นจุดชมวิว มองเห็นภูเขาได้โดยรอบ อากาศดีมากครับ เดินเล่น ถ่ายรูปได้ซักพักก็ต้องรีบกลับแล้วครับ เดี๋ยวไม่ทันกระเช้ารอบสุดท้าย 18.00

ขากลับเจอหมอกเป็นช่วงๆ ครับ บางช่วงขาวโพลนไปหมด มองไม่เห็นอะไร ตรงซ้ายมือ – บน ของรูปเป็นสนามบินเชก แลป ค๊อก ฮ่องกง

แวะมาเอากระเป๋าที่ Locker ที่ชั้นล่าง ใต้ที่ขายตั๋วขึ้นกระเช้านองปิง

การใช้งานตู้ Locker

1. เลือกจากเมนูที่จอคอมพิวเตอร์ ต้องการเช่าตู้

2. ตั้งรหัสผ่าน 4 หลัก

3. ใส่เงิน 40 HKD เป็นค่าใช้บริการต่อ 1 ตู้ / 3 ชั่วโมง

4. ตู้เปิดออก

5. เอาของใส่ Locker จำรหัสผ่าน และหมายเลขตู้ให้ถูกต้อง

ขนาดตู้ค่อนข้างใหญ่มากครับ ใส่กระเป๋าได้หลายใบ สามารถฝากได้ 3 ชั่วโมง

นอกจากตู้ Locker ตรงนี้แล้วยังมี ตู้ Locker ฝากกระเป๋าที่ CitygateOutlets อีกที่

ที่ตั้งของ Locker ในห้าง CitygateOutlets จะอยู่ชั้น B2, B3 ใต้ Supermaket TASTE ลงบันไดเลื่อนมาก็แทบจะเจอเลย ตู้ Locker จะเปิดให้บริการทุกวัน 8.00-23.00 น.

การใช้งานจะต้องไปจิ้มที่คอมพิวเตอร์สีเหลืองตรงกลาง แล้วจ่ายเงินด้วยเหรียญเท่านั้น ถ้าไม่มีเหรียญก็สามารถนำแบงค์ 20 HKD มาแลกเอากับเครื่องแลกเหรียญในรูปด้านล่างได้

ค่าบริการ

6 ชั่วโมงแรก : Locker เล็ก 10 HKD / 2 ชั่วโมง, ใหญ่ 10 HKD / 2 ชั่วโมง, ใหญ่มาก 20 HKD / 2 ชั่วโมง

ตั้งแต่ชั่วโมงที่ 7 : Locker เล็ก 20 HKD / 2 ชั่วโมง, ใหญ่ 20 HKD / 2 ชั่วโมง, ใหญ่มาก 40 HKD / 2 ชั่วโมง

ยังพอมีเวลาเหลือ เลยพาลูกทัวร์มาช๊อปปิ้งที่ Citygate outlets ในห้างจะขายสินค้า Brand name เสื้อผ้า นาฬิกา ของใช้ ของฝาก ซุปเปอร์มาเก็ต

ร้านทุกร้านลดราคาหมดครับ ผมลองเปรียบเทียบราคาดูแล้ว บางอย่างก็ถูกกว่าไทยครับ บางอย่างก็พอๆ กัน แต่ดูเหมือนสินค้าจะล้ำสมัยกว่าที่ขายในบ้านเรา

ถ้าใครเคยไปชอปปิ้งที่ Factory Outlet บ้านเราที่อยู่สระบุรี, เพชรบุรี ผมว่าที่นี่ราคาถูกกว่านิดนึง

หลังจากเดินชอปปิ้งกันจนเหนื่อยแล้ว ขอแนะนำที่กินข้าวใน Citygate ครับ ที่ชั้นบน จะมี Food court ชื่อ Food Republic ขายอาหารหลายอย่างมาก เป็นศูนย์อาหารนานาชาติ อาหารไทยก็มี ผัดกระเพรา ไข่ดาว หากินได้ที่นี่ครับ ราคาอาหารโดยรวม ราคาประมาณ 30-50 HKD / จาน ผมแนะนำอยู่ร้านนึงครับชื่อร้าน Macau cruise คนขายเป็นคนไทยครับ อาหารก็อร่อยใช้ได้ด้วย อย่างที่เห็นในรูปเป็นผัดไก่ เผ็ดนิดๆ อร่อยดีครับ

ถ้าต้องการซื้อของฝาก ที่ชั้นล่างของ Citygate Outlets มีซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ชื่อ TASTE ขายของใช้ ของกินหลายอย่างครับ พวกชอกโกแลต ไวน์ ราคาไม่แพง

เราชอปปิ้งจนวินาทีสุดท้าย แล้วก็นั่งรถเมล์สาย S1 จาก Citygate Outlets มายังสนามบิน มาเช็คอินกลับกรุงเทพฯ

ที่จอดรถเมล์สาย S1 จะอยู่ช่องแรกเลย หาไม่ยากครับ รถวิ่งประมาณ 20 นาทีก็มาจอดที่สนามบิน

ถึงสนามบินแล้วเช็คอินกันก่อนครับ Counter Hong Kong Aitlines คนน้อยมาครับ เที่ยวบินขากลับเป็นเที่ยวบิน HX 767 บินเวลา 22.30 น. อาจจะดึกไป คนไม่ค่อยนิยม

เดี๋ยวนี้ทุกสายการบิน พยายามลดต้นทุนด้วยการให้คนหันมาใช้เครื่อง Kiosk Check in แต่ของผม Check in กับพนักงานครับ

มาขึ้นเครื่องที่ฮ่องกงต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ ครับ สนามบินเค้ากว้างจริงๆ Check in เสร็จผ่าน ตม. แล้วต้องนั่งรถไฟฟ้ามาขึ้นเครื่องอีก Terminal นึง แล้วก็เดินอีกพอสมควร

ที่นั่งรอขึ้นเครื่อง สามารถนอนยาว 3 ที่นั่งได้เลย

ขึ้นเครื่องกลับแล้วครับ

และแล้วเราก็มาถึงกรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิตอน 1.30 ดึกมากครับ ทริปฮ่องกง 3 วันก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ทริปหน้า คงจะเป็นหลังจากน้ำท่วมลดระดับน้ำลงแล้ว คิดว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่หรือไม่ก็เขาค้อครับ ทริปหน้าเจอกันใหม่ครับ บายย 🙂

สรุปค่าใช้จ่ายของ 2 คน 2 คืน 3 วัน

– ค่าโรงแรม Hotel MK 2 คืน 6,736

– ค่าตัวเครื่องบิน กรุงเทพฯ – ฮ่องกง Hong Kong airlines 17,800 บาท

– ค่าตั๋ว The Peak + กระเช้านองปิง 1,800 บาท

– ค่าอาหาร 3 วัน 5,000 บาท

– ค่าเดินทาง Octopus card 1,000 บาท

รวมทั้งหมด 32,336 บาท ตกคนละ 16,168 บาท

Link.

จองโรงแรมฮ่องกง ราคาถูกกว่าจองกับโรงแรมโดยตรง ยืนยันห้องว่างทันที

เที่ยวฮ่องกง 2555 ด้วย Air asia ไปเองได้ไม่ง้อทัวร์

เที่ยวต่างประเทศ ไม่ง้อทัวร์

เซินเจิ้น ฮ่องกง 1 ฮ่องกง 2 มาเก๊า
มาเลเซีย มะละกา ชอปปิ้งในมาเลเซีย Genting (เกนติ้ง)
สิงคโปร์ 1 USS & Sentosa สิงคโปร์ 2 บาหลี

Post Views 24079

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

13 thoughts on “เที่ยวฮ่องกง ไปเองได้ ไม่ง้อทัวร์

  • May 30, 2012 at 6:39 am
    Permalink

    Thank you so much ka. U help me more.

  • June 22, 2012 at 10:47 am
    Permalink

    เล่าได้ชัดเจนดีค่ะ มีประโยนช์ต่อคนไม่เคยไปและต้องการไปเองมากค่ะ
    ขอบคุณค่ะ

  • July 3, 2012 at 6:25 am
    Permalink

    เล่าได้ระเอียดมากค่ะ ชอบมาก

  • September 4, 2012 at 1:05 pm
    Permalink

    ผมจะไป 15-17 สิงหานี้ครับ พักที่ Hotel MK เหมือนกัน
    จากโรงแรมไปรถไฟฟ้า สถานี Mongkok หรือ Yai MaTei อันไหนใกล้กว่ากันครับ
    เดินประมาณกี่นาที แล้วแถวโรงแรมมีของกินเยอะป่าวอ่ะคับผม
    ห้องเล็กมากเลยเนอะ แล้วไม่ทราบมันมีเตียงคู่ป่าวอ่ะครับ
    ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆนะครับผม ^^

  • September 4, 2012 at 6:48 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Ohm

    Hotel MK อยู่ตรงกลางระหว่างสถานี Mongkok และ Yai Ma Tei พอดีเลยครับ ดังนั้นนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีไหนก็ได้ครับ อันไหนถึงก่อนก็ลงสถานีนั้น

    ส่วนของกินใกล้โรงแรมมีเยอะมากครับ 7-eleven ก็อยู่ใกล้ ถ้าพักห้อง standard ก็จะเป็นเตียงคู่ครับ

  • September 30, 2012 at 1:15 am
    Permalink

    อยากรู้ว่าเราจะรูได้ยังไงคะว่า รถคันไหนพา เราไปไหนอ่ะค่ะ เช่น a21 ที่พี่บอก

  • April 16, 2013 at 11:44 am
    Permalink

    อ่านของหลายๆ คนที่เขียนรีวิว ของคุณน้องละเอียด จับที่สำคัญๆ ได้ดีมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ กำลังจะไปเป็นครั้งที่ 2 กับแม่ ห่างจากครั้งแรกเกือบ 10 ปี อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดเลยค่ะ

  • April 16, 2013 at 11:50 am
    Permalink

    ตอบคุณ angko

    ขอบคุณมากครับ สำหรับคำชม การเขียนรีวิวแต่ละครั้งก็พยายามหาเนื้อหามาให้ได้มากที่สุดครับ ผมอยากให้คนไปเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์กันเยอะๆ ดูรีวิวของเราแล้วสามารถไปเองได้เลย มันสนุก และประหยัดกว่าทัวร์ สามารถจัดโปรแกรมได้ตามที่ตัวเองชอบ

  • December 9, 2014 at 11:54 am
    Permalink

    Departure? card (ขาออก) เดินทางด้วยเที่ยวบินอะไร ปลายทางอะไร

    กรณีถ้าไปเที่ยวมาเก๊า จะกรอก เที่ยวบิน เป็น ชื่อเรือ และ ปลายทาง เป็น มาเก๊า ถูกต้องหรือเปล่าครับ ถ้าไม่กรอกได้มั้ย ครบเพื่อไม่มีเวลาไปเที่ยวมาเก๊า

  • December 9, 2014 at 8:42 pm
    Permalink

    ตอบคุณ mband

    กรณีถ้าไปเที่ยวมาเก๊า จะกรอก เที่ยวบิน เป็น ชื่อเรือ และ ปลายทาง เป็น มาเก๊า ถูกต้องหรือเปล่าครับ ถ้าไม่กรอกได้มั้ย ครบเพื่อไม่มีเวลาไปเที่ยวมาเก๊า

    ตอนบินเข้าฮ่องกงกรอกแต่ใบขาอย่างเดียวก็ได้ครับ ใบขาออกก็เว้นว่างไว้ในส่วนเที่ยวบิน และ ปลายทาง

  • December 28, 2014 at 4:46 pm
    Permalink

    ฝากกระเป๋าที่โรงแรมนานได้มั้ยคะ ว่าจะไปเที่ยวดิสนี่ก่อนแล้วค่อยกลับมาเอากระเป๋า ตอน 2ทุ่ม

  • December 28, 2014 at 4:48 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Da

    ถ้าไม่ได้ฝากข้ามวัน ฝากได้อยู่แล้วครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *