รีวิว Gardens by the Bay สิงคโปร์ ชมต้นไม้ ดูไฟ Supertree

สิงคโปร์เป็นประเทศที่ผมไปมา 4 ครั้งแล้ว ในแต่ละครั้งที่ไปก็จะมีอะไรใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุก Universal Studios Singapore, ตึก Marina Bay Sands, รถไฟฟ้าสายใหม่, Gardens by the Bay ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาไม่เคยหยุดจริงๆ ในรีวิวนี้ผมจะพาไปชมที่เที่ยวแห่งใหม่ของสิงคโปร์ ที่เพิ่งจะเปิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะพอเดาออกแล้ว ว่าผมจะพาไปที่ไหน สถานที่แห่งนั้นคือ Gardens by the Bay ครับ

Universal AC Adapter

Gardens by the Bay สวนพฤกษศาสตร์ริมอ่าว Marina Bay

เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ ในย่าน Marina Bay เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของสิงคโปร์ในเวลานี้ สวนแห่งนี้มีความโดดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรม พันธุ์ไม้นาๆ ชนิดจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งพืชทะเลทราย พืชเมืองหนาว พืชที่อยู่บนดอยสูงระดับ 2,000 เมตรจากน้ำทะเล อย่างเช่นกุหลาบพันปี มีการทำโดมปรับอากาศเรือนกระจกรูปทรงเปลือกหอยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถึง 2 โดม โดยไม่มีเสาค้ำยันภายในโดม ขนาดใหญ่ 2.2 และ 1.5 เท่าของสนามฟุตบอล

นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มต้นไม้ยักษ์ Supertree Grove จำนวน 18 ต้นเป็นรูปแบบของสวนแนวตั้งที่มีความสูงถึง 25-50 เมตร หรือประมาณตึก 16 ชั้น มองเห็นได้ในระยะไกล ที่ด้านบนของต้นไม้ยักษ์มีการติด Solar cell เพื่อใช้เก็บเป็นพลังงานส่องสว่างในเวลากลางคืน

การก่อสร้างสวน Gardens by the Bay มีมูลค่าโครงการถึง 1,035 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 25,875 ล้านบาท (รวมสิ่งก่อสร้างทุกอย่างในสวนแต่ไม่รวมถึงราคาที่ดิน) กับพื้นที่ขนาด 101 hectares (1.01 ล้านตารางเมตร) นับว่าเป็นสวนที่ถือว่าใหญ่มาก เมื่อเที่ยบกับอัตราส่วนขนาดประเทศสิงคโปร์ ส่วนสวนพฤกษศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือสวน Royal Botanic Gardens, Kew มีขนาด 121 hectares ตั้งอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ความยิ่งใหญ่ของ Gardens by the Bay การันตีโดยรางวัลต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น World Building of the Year (World Achitecture Festival 2012, UK), 2013 RIBA Lubetkin Prize (Royal Institute of British Achitects)

พื้นที่ในสวน Gardens by the Bay จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ Bay South Garden, Bay East Garden และ Bay Central Garden ส่วนที่มีพื้นที่มากที่สุดจะเป็น Bay South Garden มีพื้นที่ 54 hectares

ค่าเข้าชม Gardens by the Bay

มีส่วนที่เข้าชมได้ฟรี และ ส่วนที่ต้องเสียค่าเข้าชม โดยส่วนที่เสียค่าเข้าชมจะเป็นโดม 2 โดม (conservatory) ได้แก่โดมดอกไม้ (Flower Dome) และ โดมป่าเมฆ (Cloud Forest)

Two conservatories * OCBC Skyway**
ผู้ใหญ่ 28 SGD 5 SGD
เด็ก (3-12 ปี) 15 SGD 3 SGD

Two conservatories * : โดมดอกไม้ และ โดมป่าเมฆ

OCBC Skyway** : ทางเดินลอยฟ้าระหว่าง Supertree Grove

Tip. ราคาค่าเข้าชม 28 SGD เป็นราคาที่ซื้อหน้างาน ถ้าต้องการซื้อถูกกว่านี้แนะนำให้ซื้อ Online ทาง KLOOK ราคาเหลือเพียง 521 บาท เป็นบัตรแบบไม่ระบุวัน

ซื้อบัตรเข้าชม Gardens by the Bay

ช่วงเวลาในการชมดอกไม้ Gardens by the Bay

ตอนเช้าจะเป็นช่วงที่ดอกไม้ ต้นไม้สวยที่สุด ถ้าอยากเห็นต้นไม้สวยๆ แนะนำให้มาช่วงเช้า แต่ถ้ามาตอนเช้าแล้ว ตอนกลางคืนอยากชมไฟที่ Supertree Grove ก็ต้องมาใหม่อีกรอบ อาจจะเสียเวลา อีกหนึ่งทางเลือกคือมาช่วงบ่าย อยู่ยาวถึงเย็น รอดูไฟรอบ 19.45 น. ระยะเวลาในการชมต้นไม้ 2 โดมประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าจะดูสวนอื่นด้วยควรมีเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

การเดินทางไปยัง Gardens by the Bay

นั่งรถไฟฟ้าสาย Circle Lineไปลงสถานี MRT Bayfront ทางออก Gardens by the Bay

หลังจากที่ออกจากรถไฟฟ้าก็จะเจอกับทางเข้าสวน สามารถเดินเข้าไปข้างในได้เลย ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที วิวระหว่างทางสวย สำหรับคนที่ไม่สะดวกเดิน เช่นผู้สูงอายุ ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ก็แนะนำให้นั่ง Shuttle Service รถจะไปจอดที่หน้าทางเข้าโดมดอกไม้ (ไม่จอดรายทาง) ส่วนขากลับก็จะจะจอดจุดเดียวกับที่ขึ้น ใกล้ๆ กับ ทางลงไป MRT Bayfront

ค่าใช้จ่ายรถ Shuttle Service อยู่ที่คนละ 2 SGD นั่งได้ 2 ขา (ไป – กลับ)

ลงจากรถเสร็จก็เดินเข้าโดมได้เลย

หน้าทางเข้าโดมดอกไม้จะเป็นที่ขายตั๋ว วันธรรมดา ช่วงเช้ามีคนเข้าคิวซื้อตั๋วประมาณนี้ ถ้าเป็นวันหยุดคนจะเยอะกว่านี้ครับ

แต่ผมมีตั๋วที่ซื้อมาจาก Sea Wheel Travel แล้ว เลยไม่ต้องซื้อหน้างาน บัตรเข้าชมจะมีขั้วบัตรอยู่ 2 ฝั่ง เป็นของ Cloud Forest และ Flower Dome เวลาเข้าชมโดมไหนที่หน้าทางเข้าเค้าจะฉีกส่วนนั้นออก ดังนั้นให้เก็บขั้วบัตรที่เหลือไว้ด้วยนะครับ

โดมดอกไม้ Flower Dome

เราเริ่มชมที่โดมดอกไม้ก่อนนะครับ แล้วค่อยต่อด้วยโดมป่าเมฆ

เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 9.00 – 21.00 น.

ข้อห้ามในการเข้าชม : ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป, ห้ามเด็ดดอกไม้, ห้ามสูบบุหรี่, ห้ามทิ้งขยะ

ทางเข้าไปในโดมเป็นรูปดอกไม้ สีสดใส ถ่ายแบบ Macro เห็นแล้วอยากเข้าไปเห็นด้านในไวไว

เข้าไปถึงในตัวโดมมันดูกว้างและสูงโปร่งมาก ดูใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับการมองจากด้านนอก และที่สำคัญอากาศเย็นสบายด้วยครับ มีระบบปรับอากาศอุณหภูมิเฉลี่ย 23-25 องศา ควบคุมความชื้น 60-80 (RH%) ในส่วนของโดมดอกไม้มีพื้นที่ถึง 2.2 เท่าของสนามฟุตบอล โครงสร้างหลังคามุงกระจกให้แสงผ่านเข้ามาได้ มีความสูงจากพื้น 38 เมตร สามารถรองรับผู้เข้าชมได้ 1,400 คน

ภายในโดมประกอบด้วยสวนย่อยๆ จากทั่วทุกมุมโลก เช่นสวนออสเตรเลีย, สวนแอฟริกาใต้, สวนอเมริกาใต้, สวนแคลิฟอร์เนีย, สวนเมดิเตอร์เรเนียน, กระบองเพชรและพืชอวบน้ำ, ต้นไม้รูปทรงขวด (African Baobab)

แลกนอกจากสวนที่ว่ามา ยังมีสวนดอกไม้พิเศษตรงกลางโดม สวนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามเทศกาลและธีม เช่นสวนทิวลิป (Tulipmania), สวนฝรั่งเศส (French Garden) ส่วนวันที่เราไปนั้นเป็นสวนเปอร์เซียน (Persian Garden Floral Display) ก็สวยกันไปคนละแบบ

สวนเปอร์เซียน (Persian Gardens)

มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Iranian gardens เป็นสวนสไตล์ประเทศอีหร่าน มีการผสมผสานรูปแบบของสวนระหว่าง Andalusia สเปน และ อินเดียเข้าด้วยกัน หน้าตาสวนที่ออกมาจึงดูคล้ายทั้งยุโรปและอินเดีย สวนชนิดนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่มีสระน้ำตรงกลาง มีลวดลายฉลุ โค้งๆ แหลมๆ ตัวอย่างของสวนนี้ที่เรารู้จักกันดีก็ทัช มาฮาล (Taj Mahal) ประเทศอินเดีย

รอบๆ สระน้ำก็จะประดับไปด้วยพืชเมืองหนาว นานาๆ ชนิด บางต้นก็เคยเห็นตามโครงการหลวง อย่างดอยอ่างขาง ดอยอินทนนทน์ บ้านเรา

เพื่อให้ดูเป็นบรรยากาศแบบ Persian ก็มีการตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ พร้อมฉากหลังลวดลายสวยๆ

เครื่องหอม เครื่องเทศ

นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมดอกไม้ ก็เพลินกับการถ่ายรูป ดูดอกไม้ไปตามๆ กัน

ดอกไม้แต่ละชนิดจะมีการบอกชื่อไว้ที่โคนต้น ถ้าหาดูดีๆ ก็จะเจอ แต่เราเน้นชมความสวยงามมากกว่า เลยไม่ได้ถ่ายชื่อสายพันธุ์มาด้วย

สวนตรงกลางที่เป็นไฮไลต์ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก เดินไม่กี่นาทีก็ครบ 1 รอบ

ต้นไม้นาๆ ชนิด แอบสงสัยว่าเปิดตั้งแต่ 9 โมง ถึง 3 ทุ่ม เค้ารดน้ำต้นไม้กันยังไง ลองไปส่องที่โคนต้นก็พบว่ามีการซ่อนสายยางรดน้ำไว้ใต้ดินหมด เปิด – ปิด อัตโนมัติ ส่วนระบบปรับอากาศของโดมนี้ส่งผ่านท่อจากด้านล่าง หลังคาของโดมก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันมีตัวปิดแสงเพื่อควบคุมปริมาณแสงไม่ให้มากไป จัดว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย

สวนที่เราจะชมเป็นสวนถัดไปเป็น สวนออสเตรเลีย พืชในแต่ละถิ่นกำเนิดจะมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี เรามาทำความรู้จักกับพืชท้องถิ่นออสเตรเลีย กันก่อนครับ

สวนออสเตรเลีย

จะเป็นพืชที่มีการปรับตัวให้อยู่ในฤดูแล้งที่ยาวนานได้ และในพื้นที่ Australia Western และ South Australia มีไฟป่าบ่อย พืชเหล่านี้ต้องมีความสามารถในการขยายพันธุ์ขึ้นใหม่เพื่อไม่ให้ตัวเองสูญ พันธุ์ ต้นไม้หลักๆ ของออสเตรเลียที่นำมาปลูกใน Gardens by the Bay หลักๆ จะมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ Queensland Bottle Tree (Brachychiton rupestris), Kangaroo’s Paw (Anigozanthos spp.), Grass Tree (Xanthorrhoea glauca)

ต้นไม้ด้านบนมีชื่อว่า Grass Tree (Xanthorrhoea glauca) เป็นต้นไม้ในถิ่นฐานออสเตรเลีย โตค่อนข้างช้า ใน 1 ปีจะโตเพียง 1-2 เซนติเมตรเท่านั้น มีอายุยืนถึง 600 ปี ต้นไม้ชนิดนี้จะให้ดอกดีเมื่อมีไฟป่ามากระตุ้น และ ไฟป่าจะช่วยทำให้ใบร่วงและผลสุกเป็นการขยายพันธุ์ให้เกิดต้นใหม่ เพื่อเป็นการจำลองสถานการณ์ไฟป่าเค้าจะใช้ไฟเผาที่โดนต้นและใบด้านล่าง ในรูปด้านบนอาจจะเห็นไม่ชัดเพราะมีใบใหม่มาปกคลุมแล้ว

ดอกสีเหลืองในรูปด้านบน เป็นต้นไม้ที่มีชื่อว่า Kangaroo’s Paw (Anigozanthos spp.) เป็นพืชที่พบได้มากในพื้นที่ Southern West Australia มีรากที่สะสมน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง หน้าตาดูแปลกตาดีครับ

Queensland Bottle Tree (Brachychiton rupestris) หรือต้นไม้ทรงขวด เป็นต้นไม้พื้นเมืองของ Queensland มีลักษณะลำต้นป้อม รากใหญ่ ไว้เก็บน้ำและแร่ธาตุ

ถัดไปจะเป็นสวนแอฟริกาใต้

สวนแอฟริกาใต้

เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ เช่นพืช Fynbos พืชในสวนแอฟริกาใต้จะเป็นต้นที่มีใบเป็นเหมือนเข็ม, ต้นไม้ที่เจริญเติบโตในดินที่แทบจะไม่มีแร่ธาตุ, ต้นไม้ที่มีใบสีเข้ม เคลือบด้วย wax, และพวกพืชอวบน้ำ (succulents)

Aloes (Aloes spp.) ตระกูลว่านหางจระเข้ บ้านเราปลูกกันเยอะจนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา กับ มาดาร์กัสการ์

Erica versicolor ดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา

ใบมีรูปร่างคล้ายใบสน

รูปปั้นหินชาวแอฟริกา

Chilean Wine Palm (Jubaea chilensis) ต้นปาล์มในสวน South American Garden ให้สังเกตกิ่งที่ถูกตัดออกดูครับ เป็นระเบียบ สวยงามมาก บ่งบอกถึงการดูแลต้นไม้เป็นอย่างดี ต้นปาล์มขนิดนี้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เมล็ดใช้ทาน ใบใช้ทำตระกร้าได้ นอกจากนี้ยังทำน้ำเชื่อม (palm honey) จากน้ำเลี้ยงในต้นไม้ได้อีกด้วย

Olive Tree (Olea europaea) ต้นมะกอกอายุนับพันปี มีลำต้นบิดจากการที่ผ่านความแล้ง ความยากลำบาก ได้มาจากประเทศสเปน ประเมินมูลค่าไม่ถูกเลย ต้นไม้อายุพันปี

หลายคนอาจจะสงสัย Gardens by the Bay เปิดทุกวันเค้าเอาเวลาที่ไหนมาดูแลต้นไม้ ตัดแต่งกิ่งไม้ เก็บใบไม้ จริงๆ แล้วเค้าก็ดูแลตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดกิ่งเสีย ในวันปกตินี่แหล่ะครับ เว้นแต่ว่าปรับปรุง เปลี่ยน Theme ต้นไม้ครั้งใหญ่ก็ปิดโดมไปเลยก็มีนะครับ ปกติจะปิดโดมประมาณเดือนละ 1-2 วัน ทั้ง โดมดอกไม้ และ โดมป่าเมฆ หรืออาจจะสลับกันปิด

Baobabs and Bottle Trees

โซนต้นไม้ที่มีรูปร่างคล้ายขวด ลำต้นป่อง โซนนี้มีพื้นที่มากที่สุดในโดมดอกไม้

ที่ลำต้นมีการตัดกิ่งไปหลายกิ่ง คาดว่าตัดออกในตอนขนย้ายจากถิ่นกำเนิด

ต้น Drunken Tree หรือ Palo Borracho (Ceiba chodatii) ลำต้นที่ป่องตรงกลางไว้กักเก็บน้ำ มีดอกสีงาช้าง (ivory)

ดูต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ งามๆ กันไปแล้วมาดูในส่วนของพืชอวบน้ำ กระบองเพชรในโซน Succulent Garden กันบ้างครับ

Succulent Garden

พืชอวบน้ำ (Succulent) เป็นพืชที่มีการกักเก็บน้ำในลำต้น อย่างเช่นกระบองเพชร, ตระกูลว่าน (Aloes), Crassulas บาง species มีหนามไว้ป้องกันตัวเองจากสัตว์ที่จะมากินลำต้น

ลำต้น และ ใบ บางชนิดถูกเคลือบด้วย wax เพื่อสะท้านรังสี UV จากแสงแดดในทะเลทราย

ตรงโซนกระบองเพชรอากาศจะร้อนกว่าตรงดอกไม้นิดนึง เค้าคงเปิดหลังคาให้รับแสงแบบเต็มๆ และกระบองเพชรก็เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทะเลทราย คงไม่ชอบอากาศที่เย็นไป พื้นที่ปลูกกระบองเพชรจะทำคล้ายๆ สวนหิน มีกรวดโรยที่ผิวหน้า

กระบองเพชรจะปลูกที่พืช มีพืชอวบน้ำปลูกรวมอยู่ด้วย จุดเด่นของกระบองเพชรที่นี่จะเน้นไปที่ต้นใหญ่ ต้นเล็กๆ ไม่ค่อยสวย

ด้วยความที่ต้นไม้อยู่ใกล้มือไปหน่อย นักท่องเที่ยวบางคนก็เอาหินไปโรยต้นไม้ ทำให้ต้นไม้ได้รับความเสียหาย และ ดูไม่สวยงาม

ถ้าชอบดูพวกกระบองเพชรแนะนำให้ไปดูตรงโซน Sun Pavilion (อยู่นอกโดมดอกไม้) กระบองเพชรงามกว่านี้ ไม่เสียค่าเข้าชมด้วย

ในรูปบนเป็นพวกสกุล Agave หรือที่คนไทยเรียกกันว่าป่านศรนารายณ์ ใบจะเรียงตัวคล้ายดอกไม้ และมีหนามข้างใบ ต้นไม้ชนิดนี้ออกดอกสูงใหญ่ถึง 6 เมตร แต่ว่าจะออกดอกครั้งเดียวในชีวิตแล้วก็ตาย สิ่งมีชีวิตหลายอย่างในโลกนี้มี mission เพื่อสืบทอดทายาทครับแล้วก็ตาย

ตระกูลพืชอวบน้ำ

Echeveria กุหลาบหิน ใบสีอมชมพู

Lihops ต้นไม้ที่มีรูปร่างคล้ายกับก้อนหิน มีราคาแพง ต้นนี้มีดอกสีเหลืองด้วย

Haworthia ต้นไม้ชนิดนี้มีจุดเด่นตรงที่ส่วนปลายของใบมีลักษณะใส ให้แสงผ่านลงไปในใบ

มาถึงตรงนี้แล้ว เราใช้เวลาอยู่ในโดมดอกไม้ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ หรือเมื่อยเลย ดอกไม้สวย แอร์เย็นสบาย ชมดอกไม้เพลินๆ ถ่ายรูปไปด้วยเวลาผ่านไปไวมาก ใครที่ชอบต้นไม้คิดว่าน่าจะใช้เวลามากกว่าผม โดมต่อไปที่เราจะไปชมเป็นโดมป่าเมฆ ออกจากโดมดอกไม้ก็จะเจอกับทางเข้าโดมป่าเมฆ

ที่ทางออกมีจอ LCD สัมผัสให้เราเล่นได้ด้วยครับ เด็กๆ จะชอบ

โดมป่าเมฆ Cloud Forest

ก่อนที่จะเข้าโดมถัดไป แวะนั่งพักขาสักพัก ให้หายเหนื่อย เตรียมบัตรเข้า Cloud Forest ให้เจ้าหน้าที่ฉีกหางบัตรที่เหลือ

Cloud Forest หรือชื่อเป็นไทยว่าป่าเมฆ เป็นป่าในเขตร้อนบนภูเขาสูง ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆ ต้นไม้ไม่มีการผลัดใบ ในป่าชนิดนี้จะค่อนข้างชื้นถูกปกคลุมไปด้วยมอส เฟิร์น ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเดิน หรือตามเปลือกไม้ กล้วยไม้จะเจริญเติบโตได้ดีในป่าชนิดนี้ ส่วนต้นไม้ใหญ่จะไม่สูงเท่าไหร่เนื่องจากว่ามีเมฆ หมอกบังอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่ได้รับแสงแดดเท่าที่ควร ถ้าจะให้เทียบกับบ้านเราน่าจะเทียบได้กับป่าบนยอดดอยอินทนนท์ช่วงฤดูฝน เต็มไปด้วยหมอก มอส เฟิร์นพืชอิงอาศัย

เมื่อเข้ามาในโดมก็เจอกับน้ำตก (จำลอง) ขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30 เมตร เป็นน้ำตกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำตกนี้ทำหน้าที่เป็นเพิ่มความชื้นเข้าไปในอากาศ จากละอองน้ำที่ไหลผ่าน และกระทบกับพื้น

ภายในโดมนี้มีระบบปรับอากาศ อุณหภูมิอยู่ในช่วง 23-25 องศา ความชื้นค่อนข้างสูง 80-90 (RH%) พื้นที่ในโดมมีขนาด 1.5 เท่าของสนามฟุตบอล เล็กกว่าโดมดอกไม้ ยอดภูเขาสูง 35 เมตรจากพื้นดิน รองรับผู้เข้าชมได้ 1,200 คน

ในโดม Cloud Forest จะแบ่งพื้นที่เป็น 9 โซนดังนี้

  • Lost World
  • Cloud Walk
  • The Cavern
  • Waterfall View
  • Crystal Mountain
  • Tree Top Walk
  • Earth Check
  • +5 Degrees
  • Secret Garden

การชมจะใช้วิธีขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบนก่อนแล้วเดินลงมาเองทีละชั้น เริ่มจากโซนด้านหน้าทางเข้า The Falls และในรูปด้านล่างจะเป็น Waterfall View

น้ำที่กระเด็นจากน้ำตก แผ่บริเวณไปกว้าง ทางเดินด้านหน้าเปียกหมด ต้องระวังกล้อง และ โทรศัพท์มือถือเปียก

ที่ชั้นล่างมีทางเดินวนได้โดยรอบ เห็นเฟิร์นต้นใหญ่ๆ บรรยากาศเหมือนอยู่ที่เกนติ้ง มาเลเซีย เย็นๆ ชื้นๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะจำลองบรรยากาศได้เหมือนจริงขนาดนี้

ดอกไม้ในป่าเมฆ

สวนแนวตั้ง ต้นไม้นาๆ ชนิด จำลองบรรยากาศแบบป่าเมฆ ภูเขาสูง

สถานีรถไฟจำลอง

จากนั้นเราก็ขึ้นลิฟท์ไปยัง ชั้น 6 เดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 7 เป็นโซน Lost World

Lost World

เป็นจุดที่สูงที่สุดของโดม Cloud Forest มีการจำลองบรรยากาศให้เหมาะสมกับพืชในระดับความสูง 2,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล เช่นพวกต้นไม้กินแมลง ในชั้นนี้สามารถมองเห็นวิวในโดมได้ทั่ว และ ยังมองออกไปเห็นวิว Marina Bay

Lost world

ต้นไม้กินแมลง

วิวจากโซน Lost Word เมื่อมองลงไปด้านล่าง เสียวมาก ถึงมากที่สุด ไม่เหมาะกับคนกลัวความสูง

ทางเข้าโดม

ไฮไลต์ของโดมนี้อยู่ที่ Cloud walk ทางเดินลอยฟ้า เวลาเดินนี่ขาสั่นเลย

วิว Marina Bay

Crystal Mountain

ค่อยๆ เดินลงมาที่ชั้นล่าง

Cloud Walk รูปแบบทางเดินคล้ายรูปหัวใจ

Earth Check ห้อง Lab ของโลกใบนี้ มีสถิติต่างๆที่จอภาพ และ ปัญหาจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

+5 Degrees ห้องนี้มี VDO ให้ชม เป็นผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้น

ออกจากห้อง +5 Degrees ก็จะเจอกับ Secret Garden เป็นต้นไม้ที่อยู่ตามตีนเขา ช่องลำธารระหว่างภูเขา มีต้นไม้หายากเช่น สนวอลลีเมีย (Wollemia) จากออสเตรเลีย ต้น Monkey Puzzle

ภาพสุดท้ายก่อนออกจากโดม Cloud Forest

รถ Shuttle Service ที่ไปยังสถานี MRT Bayfront จอดอยู่ที่เดิม

สำหรับคนที่มีเวลาจำกัดอาจชมแค่ 2 โดมนี้ก็พอ แล้วรอค่ำๆ ค่อมาดูไฟที่ Supertree ต่อ แต่ถ้ามีเวลาเยอะก็ทานข้าวกลางวันใน Gardens by the Bay แล้วชมสิ่งที่น่าสนใจในนี้ได้อีกเพียบ เรียกได้ว่า Gardens by the Bay ที่เดียว เที่ยวได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

Garden Rhapsody (OCBC Light and Sound Show)

ในตอนเย็นประมาณ 1 ทุ่ม เรามาที่ Gardens by the Bay ใหม่ ในรอบนี้มาชมความสวยงามของกลุ่มต้นไม้ Supertree Grove ที่จะแปล่งแสงไฟ ประกอบดนตรีในการแสดง Garden Rhapsody

Garden Rhapsody (OCBC Light and Sound Show)

เป็นการแสดง แสง สี ของกลุ่มต้นไม้ Supertree ใน Gardens by the Bay ประกอบจังหวะกับเพลง Rainforest Orchestra – Australasia และ Oceania สามารถเข้าชมได้ฟรี มีการแสดงวันละ 2 รอบ ครั้งละ 15 นาที

OCBC Garden Rhapsody เป็นการแสดงที่เกิดจากความร่วมมือของ Gardens by the Bay และ OCBC Bank (Oversea-Chinese Banking Corporation Limited) โดย OCBC Bank เป็นผู้สนับสนุนทางเดินลอยฟ้า OCBC Skyway

รอบการแสดง Supertree Garden Rhapsody

  • รอบแรก 19.45 น.
  • รอบที่สอง 20.45 น.

ตำแหน่งชม Garden Rhapsody (OCBC Light and Sound Show)

บริเวณกลุ่มต้นไม้ Supertree Grove

Supertree Grove

เป็นกลุ่มต้นไม้ยักษ์ ที่มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตและเหล็ก ตกแต่งเป็นสวนแนวตั้ง มีทั้งหมด 18 ต้น แต่ละต้นมีความสูงถึง 25-50 เมตร หรือประมาณตึก 16 ชั้น ที่ด้านบนของ Supertree มีการติดตั้ง Solar cell ไว้เก็บพลังงานเป็นแสงสว่างตอนกลางคืน

สวนแนวตั้งที่อยู่บน Supertree 18 ต้น ใช้ต้นไม้จริงถึง 162,900 ต้น กว่า 200 สายพันธุ์ เช่น สับปะรดสี (Bromeliad), กล้วยไม้, เฟิร์น และดอกไม้ในเขตร้อน

ก่อนการแสดงจะเริ่ม เราเดินเก็บภาพและบรรยากาศรอบๆ พระอาทิตย์กำลังตกดิน ฟ้าเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า มีการเปิดไฟที่ต้นไม้

ทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมระหว่าง Supertree มีชื่อว่า OCBC Skyway ทางเดินยาว 128 เมตร มีความสูงจากระดับพื้นดิน 22 เมตร เมื่อขึ้นไปอยู่ด้านบนสามารถมองเห็นวิวได้โดยรอบ เช่น Marina Bay Sands, พื้นที่รอบๆ Supertree เปิดให้ขึ้นในเวลา 9.00 – 21.00 น. มีค่าใช้จ่ายในการขึ้นดังนี้

ค่าขึ้น OCBC Skyway

  • ผู้ใหญ่ 8 SGD
  • เด็ก (3-12 ปี) 3 SGD

พอฟ้าเริ่มมืด ใกล้เวลาการแสดง คนเริ่มจับจองที่นั่งรอบโคนต้น Supertree แนะนำว่าให้หาจุดชมซักจุด เลือกเอามุมที่ชอบ

19.45 น. เสียงเพลงเริ่มดังขึ้น พร้อมแสง สีที่ต้นไม้ เปลี่ยนสีสลับไปมา

มีคู่บ่าวสาวมาถ่าย Pre weding ด้วย สถานที่จริงแสงค่อนข้างน้อยนะครับ ในรูปจะดูสว่างกว่าของจริง ถ้าอยากได้รูปสวยๆ แนะนำให้เอาขาตั้งมาด้วยครับ ภาพจะสวยสด คมชัด

ฉากหลังเป็น Marina Bay Sands

เป็นการแสดง แสง สี ที่ดูแล้วเพลินจริงๆ แสงก็สวย ดนตรีก็เพราะ

ใช้เวลา 15 นาที การแสดงก็จบลงครับ ก็แยกย้ายกันกลับ หรือบางคนดูไม่เต็มอิ่มดูรอบสองต่อก็มี รีวิว Gardens by the Bay ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ

สรุปโดยรวม Gardens by the Bay

เป็นความพยายามของสิงคโปร์ที่จะทำประเทศให้เป็นเมืองแห่งสวน แต่ Gardens by the Bay ไม่ใช่สวนธรรมดาๆ เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยว สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ การก่อสร้างมีการวางรูปแบบทางสถาปัตยกรรมมาอย่างดี โดมดอกไม้ โดมเมฆ ทำได้สวยงามจนน่าทึ่ง มีต้นไม้นาๆ ชนิดจากทั่วทุกมุมโลก มีการเปลี่ยน theme สวนอยู่ตลอดเวลา

ภายใน Gardens by the Bay มีพื้นที่กว้างมาก ถ้าจะเที่ยวให้หมดคงต้องใช้เวลา 10.00 – 20.00 น. แต่ถ้าจะชมแต่ไฮไลต์ ก็มีอยู่ 3 อย่าง ดอกไม้ โดมเมฆ และ การแสดง OCBC Garden Rhapsody (แสง สี เสียง ที่ Supertree)

ค่าเข้าชมมีราคาประมาณ 500 บาท ถือว่าคุ้มมากๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ทั้งครอบครัว

การเดินทางมา Gardens by the Bay
  • รถไฟฟ้า เป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุด โดยลงที่ Bayfront MRT Station (CE1/DT16) Exit B เดินข้ามสะพาน Dragonfly Bridge ก็จะเข้าสู่ Gardens by the Bay
  • เดินมาจาก Marina Bay Sands เดินข้ามสะพาน Lions Bridge ที่เชื่อมระหว่าง Marina Bay Sands และ Gardens by the Bay (สะพานเปิด 8.00 – 23.00 น.)

Post Views 7533

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *