ชมใบไม้เปลี่ยนสี Nakano Momiji Yama ปราสาท Hirosaki

ต่อจากตอนที่แล้ว เที่ยวทะเลสาบโทวาดะ ลำธารโออิราเสะ (Lake Towada – Oirase) ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 

วันนี้เป็นวันที่ 3 ของทริป Tohoku เรายังคงตามล่าหาใบไม้แดง ใบไม้เปลี่ยนสีกันอยู่ วางโปรแกรมคร่าวๆ ดังนี้

  • ช่วงเช้า : ชมใบไม้แดง Nakano Momiji Yama เมือง Kuroishi
  • เที่ยง – บ่าย : ปราสาท Hirosaki ชมเมือง Hirosaki
  • บ่าย – เย็น : ชมสวนแอปเปิ้ล เก็บแอปเปิ้ลที่ HIROSAKI RINGO PARK

โปรแกรมเที่ยวอาจจะไม่มาก แต่การเดินทางค่อนข้างใช้เวลา และ ยังต้องทำเวลาให้ตรงรอบรถไฟ ยิ่งไกลเมือง Aomori ออกไป รถไฟมีวิ่งค่อนข้างน้อย มีชั่วโมงละขบวน ถ้าพลาดรถไฟรอบนึง โปรแกรมที่เหลือรวนหมด อาจไปได้ไม่ครบ

การเดินทางในวันนี้

มีทั้งเดินทางด้วยรถไฟ JR, รถไฟ Konan Railway และ Konan Bus ลองคำนวณดูแล้ว ใช้ JR East Pass Tohoku ไม่คุ้ม เลยเลือกที่จะจ่ายเองเป็นเที่ยวๆ โดยตั้งใจว่าจะใช้บัตร ICOCA (IC Card ชนิดหนึ่งคล้าย Suica) แตะจ่ายเงิน แทนการหยอดเหรียญ โดยเราได้เติมเงินลงการ์ดไปใบละ 5,000 เยน ที่เซนได ในวันแรกที่มาถึง

ICOCA

Aomori ใช้ Suica และ IC Cards ไม่ได้

เดินเข้าสถานี Aomori ปรากฎว่าหาทางเข้าที่ใช้ IC Card ไม่ได้เลย เลยมองไปรอบๆ ที่ตู้จำหน่ายตั๋ว มีรูปกากบาททับ Suica มองไปที่ห้องนายสถานีก็เห็นรูปนี้เช่นกัน ลอง search ในมือถือดูก็พบว่าเมือง Aomori ใช้ IC Card ไม่ได้ ความเชื่อที่ว่า Suica ใช้ได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น มันไม่ใช่เรื่องจริงแล้ว

เราใช้การหยอดเหรียญซื้อตั๋วกับตู้ ราคาตั๋วก็ตรวจสอบได้จากเวบ www.hyperdia.com

สถานที่แรกที่จะไป Nakano Momiji Yama เดินทางด้วยรถไฟ 2 ต่อ และ รถบัส ใช้เวลาเดินทางจาก Aomori ประมาณ 2 ชั่วโมง

7.34-8.19 Aomori-Hirosaki by JR OU LINE for HIROSAKI (Track 3) ¥680 อย่าขึ้นรถไฟที่เร็วกว่ารอบนี้ เพราะ Konan Bus วิ่งรอบแรก 9.15 น.

ที่สถานี Hirosaki มีมุมให้ถ่ายรูป ก็แวะไปถ่ายเป็นที่ระลึก

รถไฟขบวนต่อไป เป็นรถไฟท้องถิ่น Konan Railway ซื้อตั๋วได้ที่ตู้จำหน่าย กดไปที่ KUROISHI ¥470 ที่ตู้กดมีตั๋วแบบ ONE DAY จำหน่ายด้วย ในราคา 1,000 เยน ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสามารถใช้ได้กับรถบัสได้ด้วยหรือไม่ ถ้าใช้ได้ก็คุ้ม หาข้อมูลในเนตก็ไม่มีบอก เลยไม่ได้ซื้อ

8:38-9:12 Hirosaki to Kuroishi by Konan Railway Konan Line for KUROISHI ¥470

รถไฟสายนี้เก่า คนเดินทางค่อนข้างน้อย ออกประมาณชั่วโมงละ 1 รอบ

ภายในรถไฟ

ยิ่งวิ่งไปไกลเท่าไหร่ เหมือนว่าออกนอกเมืองมากขึ้น สองข้างทางเป็นวิวภูเขา ไร่นา และ สวนแอปเปิ้ล

9.12 น. ถึงสถานี Kuroishi ตามกำหนด เราจะต้องนั่งรถบัสต่อไปยัง Nakano Momiji Yama

รถบัสไป Nakano Momiji Yama ไปได้ 2 สาย

  • Nijinoko/Nurukawa Line ลงป้าย Nakano Minami guchi
  • Okawara Line ลงป้าย Nakano Jinjya mae

เราเดินเข้า Tourist Infomation ขอตารางเดินรถ ทั้งไปและกลับ และสุดท้ายก็ถามว่าคันที่จอดนี้ ไป Nakano หรือ เปล่า โชคดีที่ใช่ ไม่ต้องเสียเวลารอรถ รถที่ขึ้นเป็นรอบ 9.15 น. Nijinoko/Nurukawa Line

ตารางรถ Konan bus

การขึ้น-ลงรถ

  1. เมื่อขึ้นรถให้หยิบตั๋วใบเล็กๆ ที่ข้างประตูรถ บนตั๋วจะมีหมายเลขอยู่
  2. กดกริ่งก่อนลงรถ
  3. ที่จอหน้ารถจะมีราคาค่าโดยสารบอกไว้อยู่ ให้ดูตามหมายเลขตั๋ว ขึ้นจากสถานี Kuroishi  ค่ารถ 650 เยน
  4. หยอดเหรียญที่ตู้ข้างคนขับ ถ้าไม่มีเศษเหรียญจะมีเครื่องแลกเหรียญ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที ลงที่ป้าย Nakano Minami guchi คนที่อยู่บนรถลงป้ายนี้กันเกือบหมด

พิกัดป้าย ใน Google map

รวมเช้านี้เราหมดไปกับค่าเดินทาง (คนละ) 680+470+470 = 1,620 เยน

ลงจากรถก็เห็นวิวสวยๆ ภูเขา และ แม่น้ำ มีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นเลย

แม่น้ำ Nakano

แม่น้ำ คลองในญี่ปุ่น ส่วนมากจะตื้น มีโขดหิน น้ำใสมาก ไปมาหลายที่ส่วนมากจะเป็นแบบนี้

จากป้ายหยุดรถเดินไป Nakano ประมาณ 400 เมตร

ระหว่างทางผ่านสวนแอปเปิ้ลเล็กๆ ต้นไม่ใหญ่แต่ลูกดกน่าดู

ไปญี่ปุ่นมาหลายครั้งก็เพิ่งจะเคยเป็นต้นแอปเปิ้ลจริงๆ ก็ครั้งนี้

Nakano Momiji Yama

เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยแห่งหนึ่งใน Tohoku มีการเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือน Little Arashiyama (เกียวโต) มีวิวภูเขาที่สวย มีน้ำตก Fudo ไหลลงสู่แม่น้ำ Fudo และ มีสถานที่สำคัญคือศาลเจ้า Nakano Shrine

กล่าวต่อกันมาว่า ศาลเจ้า Nakano Shrine สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 795 โดย Sakanoue no Tamuramaro เพื่ออุทิศให้กับ Yamato Takeru (เจ้าชายแห่งราชวงศ์ Yamato) ต้นเมเปิ้ลที่มีจำนวนมากในพื้นที่นี้ มีความเป็นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1802 ไดเมียว Hirosaki ลำดับที่ 9 Tsugaru Yasuchika ได้พักอาศัยบริเวณนี้ (Nuruyu) ระหว่างที่อยู่มีความชอบในความงามของน้ำตก Fudo จึงได้ตัดสินใจรวบรวมเมเปิ้ลมากกว่า 100 สายพันธุ์มาปลูกที่นี่ บนภูเขาจึงเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ล ที่นี่จึงมีวิวที่สวยคล้ายกับ Arashiyama แห่งเกียวโต และ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนมาชมความงามช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

เสาโทริอิ หน้าทางเข้า มีของกินขายคล้ายๆ งานวัด

เดินลงไปด้านล่างเจอกับน้ำตก Fudo เป็นน้ำตกเล็กๆ รอบๆ เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี เมื่อวานที่ Towada – Oirase เลยพีคไปแล้ว แต่วันนี้พีคพอดี สวยงามมากๆ มีทั้งสีแดง เหลือง ส้ม

ครั้งนี้ไม่ได้พกขาตั้งใหญ่ไปด้วย เลยพยายามใช้ชัตเตอร์ให้ต่ำ เท่าที่มือจะถือได้โดยไม่สั่น เพื่อให้สายน้ำดูนุ่มนวลมากที่สุด

เท่าที่สังเกต ไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวคนไทย อาจเป็นเพราะว่าไปยาก และเป็นโซนที่คนไทยยังไม่ค่อยไป

สะพานสีแดงในรูปด้านล่างชื่อสะพาน Fudo ข้ามไปยังศาลเจ้า

สะพาน Fudo มุมถ่ายรูปยอดนิยมของที่นี่

เมเปิ้ลที่นี่แดงจัดมากเหมือนที่เกียวโต

ขึ้นไปบนสะพานแล้วถ่ายรูปมายังน้ำตก มุมนี้ก็สวย

วิวสวย คนก็ไม่ค่อยเยอะ โดยรวมชอบมากกว่า Arashiyama เสียอีก

ศาจเจ้า Nakano Shrine

ข้างศาลเจ้าจะมีบันไดขึ้นไปยังด้านบนภูเขา ใช้เวลาเดิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว

น้ำตกเล็กๆ ไหลจากด้านบนภูเขาลงมา ทางเดินถูกทับถมไปด้วยใบไม้ที่ร่วงค่อนข้างหนา

ถึงจะอยู่บนป่าเมเปิ้ล ก็ยังมีห้องน้ำให้เข้า ชอบญี่ปุ่นที่มีห้องน้ำสาธารณะเยอะมาก

ทางเดินขึ้นไปนังด้านบน

ด้านบนสุดที่เราสามารถขึ้นไปได้จะเป็นลานเมเปิ้ล Kanpudai (Open Square) ที่เต็มไปด้วยเมเปิ้ลเปลี่ยนสี แดง ส้ม เหลือง

พื้นที่กว้าง หามุมส่วนตัวถ่ายรูปได้สบายๆ ใบเมเปิ้ลที่ร่วงบนพื้นดินหนาจนเหมือนเดินบนพรมนุ่มๆ สีส้ม สีเหลือง

ถ้าดูให้ดีจะพบว่าใบเมเปิ้ลมีหลายรูปแบบ เช่น จำนวนแฉก 5, 7, 9, 11 และ ร่องของแต่ละแฉก เป็นลักษณะของแต่ละสายพันธุ์ เช่น O maple, Iroha maple

ไม่เฉพาะชาวต่างชาติที่ตื่นเต้นกับความสวยงาม คนญี่ปุ่นเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ได้ยินเสียงคำอุทานมาตลอดทาง

ถ้าจะถามว่าใบไม้แดงที่โทโฮคุ กับ เกียวโต ที่ไหนสวยกว่ากัน

ตอบได้ทันทีว่าสวยไม่แพ้กัน ขึ้นกับว่าเราอยากเห็นใบไม้แดงคู่กับอะไร ถ้าอยากเห็นใบไม้แดงคู่กับวัด ศาลเจ้า สวนหิน ก็ต้องไปเกียวโต แต่ถ้าอยากเห็นใบไม้แดงคู่กับ น้ำตก บรรยากาศธรรมชาติก็ต้องมา โทโฮคุ

มุมถ่ายรูปสุดท้ายของที่นี่คือ โค้งน้ำ จัดว่าเป็นมุมมหาชนเลยทีเดียว จุดถ่ายรูปนี้จะต้องไปเริ่มต้นที่หน้าทางเข้า ที่มีเสาโทริอิ เดินไปตามถนนใหญ่

มุมนี้จะเห็นแม่น้ำ Fudo ไหลผ่านเป็นตัว U และเห็นสะพานแดง Fudo ทางขวามือ

ถ้าใช้เลนส์ wide ก็จะเห็นฉากหลังเป็นภูเขาด้วย

เราชมใบไม้แดงเต็มอิ่ม ใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง ได้เวลากลับแล้ว

ที่ด้านหน้ามีขายแอปเปิ้ล ลูกละ 50-150 เยน ราคาถูก ซื้อไปทาน 2 ลูก หอมอร่อยดี

จุดขึ้นรถกลับจะเป็นป้าย Nakano Jinjya mae รถรอบ 12.08 น. คนขึ้นรถบัสค่อนข้างน้อย นักท่องเที่ยวส่วนมาก (ชาวญี่ปุ่น) มักจะขับรถมากัน

พิกัดป้าย ใน Google map

ขากลับก็เป็น Konan Bus เช่นกัน

กลับถึงสถานี Kuroishi เวลา 12.47 น. เราพลาดรถไฟไป Hirosaki รอบ 12.40 น. ไปอย่างน่าเสียดาย รอบถัดไปจะเป็นรอบ 13.40 น. เราใช้เวลาว่างในการรอรถไฟไปกับการทานมื้อกลางวัน และ เดินเล่นใน Supermarket CO.OP ที่ติดกับสถานี Kuroishi

14.14 น. ถึงสถานี Hirosaki มีรูปแอปเปิ้ลขนาดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป บ่งบอกถึงความเป็นมืองแห่งแอปเปิ้ล

ที่สถานีนี้ติดป้ายใหญ่ๆ ไว้เลย The Suica canot be used. เราเริ่มนึกถึงเงิน 5,000 เยน ในการ์ดที่เพิ่งจะเติมมา จะใช้ยังไงให้หมดและจะใช้ที่ไหนได้บ้าง ที่ใช้ได้ชัวร์ๆ ก็เซนได

โปรแกรมเที่ยวที่เหลือของวันนี้ก็มี

เที่ยง – บ่าย : ปราสาท Hirosaki ชมเมือง Hirosaki
บ่าย – เย็น : ชมสวนแอปเปิ้ล เก็บแอปเปิ้ลที่ HIROSAKI RINGO PARK

เรามีเวลาเที่ยวเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินตอน 16.30 น. เลยจำเป็นต้องตัด HIROSAKI RINGO PARK ออกอย่างน่าเสียดาย

เที่ยวใน Hirosaki

เราจะเดินทางด้วยรถบัส Loop Bus รถสายนี้ผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น สถานี Hirosaki, Hirosaki Park, ปราสาท Hirosaki, ห้องสมุดสไตล์ยุโรป Former Hirosaki City Library ค่ารถคิดราคาเดียว ขาละ 100 เยน ราคาเป็นมิตรมาก การขึ้นรถให้ขึ้นที่ป้ายหมายเลข 2 หน้าสถานี Hirosaki รถมาทุกๆ 10 นาที

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 19 นาที เราลงรถที่ป้ายหมายเลข 14 Shiyakusho-mae (Hirosaki City Office) เป็นป้ายใจกลางเมือง ใกล้ปราสาทฮิโรซากิ และ สถานที่สำคัญ

การลงรถให้ชำระด้วยเหรียญ 100 เยน ลงกล่องข้างคนขับ

ข้อมูลเมือง Hirosaki

เป็นเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันตกของจังหวัด Aomori เคยเป็นศูนย์กลางการเมือง และ วัฒนธรรมในสมัย Edo สิ่งที่สำคัญใน Hirosaki ที่คนทั่วไปจะนึกถึง มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่ 1. ปราสาทฮิโรซากิ (Hirisaki Castle) 2. เมืองแห่งการปลูกแอปเปิ้ล 3. บ้านเรือนสไตล์ยุโรป

เดินจากป้าย 14 ไปไม่ไกล ผ่าน Starbucks สาขานี้เป็นอาคารแบบยุโรป สร้างกลมกลืน คล้ายกับตึกเก่าบริเวณนี้

อาคารที่เห็นนี้เป็นห้องสมุด Former Hirosaki City Library 

สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะในสงครามญี่ปุ่น – รัสเซียใน ปี ค.ศ. 1906 และใช้เป็นห้องสมุดของเมืองจนถึงปี ค.ศ. 1931 ปัจจุบันอนุรักษ์เป็นอาคารเก่า ข้างในคงสภาพไว้เป็นห้องสมุด ตัวอาคารเป็นทรงแปดเหลี่ยมคู่ สถาปัตยกรรมยุโรป เรเนสซองส์ (Renaissance)

เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น พบว่าชาตินี้มีเลือดนักสู้มาก เคยสู้รบกับรัสเซีย จีน เกาหลี จนได้รับชัยชนะ ทั้งๆ ที่ประชากรน้อยกว่ารัสเซีย และ จีน อย่างมาก

สภาพตึกสมบูรณ์มาก แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นอาคารที่มีอายุมากกว่า 100 ปี

ด้านหลังอาคารห้องสมุดจำลองบ้านเรือนสไตล์ยุโรปใน Hirosaki จำนวน 14 หลัง

สัดส่วนบ้านจำลองทำได้สวยสมจริง เข้าชมและถ่ายรูปได้ฟรี

บ้านแต่ละหลังจะมีป้ายชื่อ และ รายละเอียดบอกเป็นภาษาญี่ปุ่น

ใช้เวลากับที่นี่ประมาณ 10 นาที จากนั้นเดินต่อไปยังปราสาทฮิโรซากิ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะฮิโรซากิ

เมื่อข้ามถนนไปยังฝั่งสวนสาธารณะฮิโรซากิ จะเห็นต้นซากุระเรียงรายยาวไปรอบสวนสาธารณะ ที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่สวมมากๆ แห่งหนึ่งใน Tohoku ว่ากันว่าในบริเวณสวนสาธารณะ และ รอบปราสาทมีต้นซากุระหลายพันต้น

ภายในสวน เข้าชมได้ฟรี เป็นเหมือนสวนสาธารณะทั่วไป

มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมนิดหน่อย

หากต้องการชมปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) มีค่าเข้าชม 520 เยน และการเข้าชมในช่วงนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 2023 จะเป็นช่วงที่มีการบูรณะฐานปราสาท และ ตัวปราสาท

ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

ได้มีการวางแผนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1603 โดยไดเมียว (เจ้าเมือง) Tsugaru Tamenobu การก่อสร้างได้เริ่มในปี ค.ศ. 1610 ในช่วงไดเมียวคนที่ 2, Nobuhira และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1611 ต่อมาในปี ค.ศ. 1627 ตัวปราสาท 5 ชั้นได้ถูกฟ้าผ่า ไฟไหม้

ได้มีการสร้างขึ้นใหม่เป็นปราสาท 3 ชั้น โดยใช้โครงสร้างเดิมในปี ค.ศ. 1810 และเป็นปราสาทที่เราเห็นจนถึงทุกวันนี้

เนื่องจากมีการบูรณะฐานปราสาท จึงมีการย้ายตัวปราสาทออกจากที่ตั้งเดิม ขยับมาไกล 70 เมตร เป็นเรื่องที่น่าทึ่งพอสมควรที่สามารถย้ายสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ได้ โดยที่ยังคงสภาพเดิมไว้อยู่

ถ้าให้เทียบกับปราสาทโอซาก้า ปราสาทฮิเมจิ ต้องบอกเลยว่าปราสาทฮิโรซากิ เล็กกว่ามาก รั้วไม้ที่ล้อมปราสาทน่าจะมีพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา ตัวปราสาทก็ใหญ่ประมาณบ้านเดี่ยว 50 ตารางวาที่เราอยู่ๆ กัน การตกแต่งภาพนอกก็ดูไม่หรูหรา

ด้านในปราสาทเปิดให้เข้าชม จัดแสดงเป็นนิทรรศการ ขั้นตอนการซ่อมแซมบูรณะ มีภาพ วีดีโอ และ เครื่องมือที่ใช้ในการย้ายปราสาท

ที่ตั้งเดิมของปราสาทอยู่บนกำแพงหิน

การย้ายปราสาทจากจุด A ไปยังจุด D

เครื่องมือที่ใช้ในการย้ายก็จะเป็น Roller และตัวยกแบบ  hydraulic

ส่วนชั้น 2-3 มีภาพเก่าและโมเดลจำลองพื้นที่บริเวณรอบปราสาท บันไดขึ้นไปยังชั้น 2-3 ค่อนข้างชันและแคบ คนหัวเข่าไม่ดีไม่ควรขึ้น

กำแพงหินที่เคยเป็นที่ตั้งประสาท อยู่ในระหว่างการซ่อมแซม มีการเรียงหินใหม่

ขากลับเราเดินออกอีกประตู พบว่ามีใบไม้แดงสวยๆ ให้ชมอยู่หลายต้น

คลองรอบปราสาท

จากนั้นก็นั่งรถบัส 100 เยน กลับสถานี Hirosaki

นั่งรถไฟ JR OU LINE กลับ Aomori รอบ 16.51 น. ค่าโดยสาร 680 เยน

ถึง Aomori 18.00 น. วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยและสนุกมาก เสียดายที่บริหารเวลาไม่ดีทำให้ต้องตัดสวนแอปเปิ้ลออกจากโปรแกรม  ในตอนต่อไปเราจะพาไปชมตลาดปลาในเมือง Aomori และจะย้ายโรงแรมไปพักที่เมือง Morioka ติดตามชมกันต่อนะครับ

อ่านตอนต่อไป เที่ยวตลาดปลา Auga – Furukawa นั่ง Shinkansen เที่ยวในเมือง Morioka

Post Views 2092

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *