เที่ยววัด Yamadera วัดงามบนภูเขา ชมปราสาท Yamagata

ต่อจากตอนที่แล้ว เที่ยวตลาดปลา Auga – Furukawa นั่ง Shinkansen เที่ยวในเมือง Morioka

วันนี้เป็นวันที่ 5 ของทริป Tohoku แล้ว โปรแกรมคร่าวๆ ของวันนี้

  • เช้า : เดินทางไป Sendai ฝากกระเป๋าที่โรงแรม
  • สาย : เดินทางไปวัด Yamadera วัดบนภูเขาสูง
  • บ่าย : เที่ยวในเมือง Yamagata สวนสาธารณะ Kajo
  • เย็น : กลับ Sendai นอน Daiwa Roynet Hotel Sendai

เราเช็คเอ้าต์โรงแรมตอน 7 โมงเช้า รู้สึกว่าวันนี้หนาวกว่าทุกวัน ดูอุณหภูมิของเมืองนี้ในโทรศัพท์ อยู่ที่ 2 องศา หนาวกว่า Aomori เสียอีก มองไปบนภูเขา Iwate เริ่มมีหิมะขาวๆ ปกคลุมยอดเขาแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังไม่มี แค่วันเดียวอากาศก็เปลี่ยนได้

การเดินทางในวันนี้เราจะเดินทางด้วยรถไฟ Shinkansen + รถไฟ JR โดยใช้ JR East Pass Tohoku เป็นวันที่ 4

มื้อเช้าตั้งใจว่าจะซื้อ Bento ที่สถานีไปทานบนรถไฟ แต่แทบจะไม่มีขายเลย ที่ขายก็ดูไม่น่าทาน ต่างกับในโตเกียว หรือ โอซาก้า เลยได้แซนวิชทานคู่กับกาแฟ ทานเป็นมื้อเช้า ส่วนร้านสะดวกซื้อก็มีไม่กี่ร้าน สถานีนี้คงไม่ค่อยมีคนขึ้น-ลง กันซักเท่าไหร่

เดินทางไป Sendai ด้วย Shinkansen Hayabusa 8 ระยะเวลา 39 นาที ระยะทาง 183.5 กิโลเมตร ถ้าซื้อตั๋วเอง 6,590 เยน แต่เราใช้พาสจึงไม่ต้องเสียเพิ่ม

ระยะทาง Morioka – Sendai 183.5 กิโลเมตร  ก็ประมาณ กรุงเทพฯ – ระยอง จะดีแค่ไหนถ้าบ้านเรามีรถไฟความเร็วสูงไประยอง โดยใช้เวลาเพียง 39 นาที คงจะช่วยลดปริมาณการใช้รถส่วนตัว และ ช่วยให้การมาเที่ยวสะดวกมากขึ้น

รถไฟ Shinkansen Hayabusa (はやぶさ)

ชื่อมีความหมายว่านกเหยี่ยว (Peregrine falcon) เป็นรถไฟความเร็วสูงของ บริษัท JR East และ JR Hokkaido ให้บริการในเส้นทาง Tokyo – Shin-Hakodate-Hokuto ตัวรถไฟจะเป็นสีเขียว โฉมปัจจุบันเป็นรถไฟรุ่น E5 เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 2011 ขบวนรถจะมี 10 ตู้ สร้างโดยบริษัท Hitachi และ Kawasaki Heavy Industries

ความเร็วสูงสุดในช่วงแรกกำหนดไว้ที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตรงช่วง Utsunomiya และ Morioka ต่อมาในปี ค.ศ. 2013 มีการเพิ่มความเร็วใหม่เป็น 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง

8.55 น. เราก็มาถึงสถานี Sendai เมืองใหญ่แห่งภูมิภาค Tohoku

ที่พักของเรา Daiwa Roynet Hotel Sendai อยู่ใกล้สถานีมาก ออกประตูฝั่งตะวันออก ข้ามถนนมาก็เกือบจะเจอเลย ข้างโรงแรมเป็นร้าน Yodobashi ร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Gadget ส่วนด้านล่างโรงแรมเป็น 7-Eleven สะดวกมากๆ

Lobby โรงแรมอยู่ชั้น 2 เราขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน เย็นๆค่อยมาเช็คอิน ไว้ช่วงท้ายๆ ของรีวิวนี้จะพาไปชมในห้องพัก

ตอนนี้เราต้องทำเวลาเพื่อเดินทางต่อไปยัง Yamadera

เดินย้อนกลับไปยังสถานี Sendai

คำแนะนำสำหรับคนที่จะไป Yamadera ในช่วงเที่ยง เมืองนี้หาของกินยากนิดนึง แนะนำให้ซื้อข้าวกล่อง หรือ แฮมเบอร์เกอร์ จาก Sendai ไป เพื่อความสะดวก และ รวดเร็ว และ ควรนำของไปเท่าที่จำเป็น เพราะจะต้องเดินขึ้นภูเขาสูง 1,000 ขั้นบันได

เดินทาง  Sendai-Yamadera 

ด้วยรถไฟ JR Senzan Line  for YAMAGATA รอบ 10:08 ถึง Yamadera เวลา 11:10 น.

เที่ยว Tohoku นั่งรถไฟเยอะมาก ที่เที่ยวแต่ละที่ก็ไกลกัน ยังดีที่มีพาส JR ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เดินทางในราคาประหยัด

11.10 น. ถึงสถานี Yamadera ผู้โดยสารส่วนมากลงที่สถานีนี้

จากสถานีมองขึ้นไปบนภูเขามีศาลาเล็กๆ (Godaido Hall) ของวัด เป็นจุดหมายปลายทางของเรา

สูงใช่เล่นเหมือนกัน

ที่สถานี Yamadera มีตู้ล๊อคเกอร์ ให้ฝากของ ตู้ละ 500-600 เยน เราอาจจะฝากของที่ไม่จำเป็นเช่น เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ ที่เทอะทะ ร่ม กระเป๋า ฯลฯ

ข้างสถานีเห็นคนมุงอะไรกันอยู่ ปรากฎว่าเป็นการแสดงลิง คนสอนเป็นสาวญี่ปุ่น อายุยังน้อย ลิงดูฉลาดทำตามคำสั่งได้อย่างดี ดูแล้วนึกถึงละครลิงบ้านเรา ในอดีตเป็นโชว์ประจำสวนสัตว์ หรือ งานวัด แต่ปัจจุบันแทบจะหาชมไม่ได้แล้ว

การเดินทางไปวัด Yamadera

จากสถานี Yamadera เดินไปทางขวา แล้วเลี้ยวซ้าย ข้ามสะพานแดงไป ที่ตีนเขาจะมีทางขึ้นวัด ระยะทางจากสถานีประมาณ 250 เมตร

สะพานแดงเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Tachiya น้ำในแม่น้ำใสและค่อนข้างตื้น

เมืองนี้บรรยากาศดีมาก ล้อมรอบไปด้วยภูเขา แต่ไม่ค่อยมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชม

ภารกิจแรกของเราที่ Yamadera ยังไม่ใช่การชมวัด หรือ ขึ้นภูเขา แต่เป็นการหาร้านทานมื้อกลางวัน ร้านอาหารในโซนนี้มีค่อนข้างน้อย และราคาก็แพงใช้ได้เลย

เราเลือกทานราเมง คุณป้ายื่นเมนูภาษาญี่ปุ่นให้เรา ถึงจะเป็นเมนูที่มีรูป แต่ก็แปลไม่ออก โชคดีที่มี App Google Translate ทำให้เราเลือกได้ถูก

ทำไมราเมงถึงแพง? ทำไมมีหมูน้อย?

ราเมงแท้ๆ แบบญี่ปุ่นจะเน้นที่น้ำซุปกับเส้น หมูอาจจะมีบางๆ เพียง 2-3 ชิ้น ไข่ครึ่งฟอง หรือ ไม่มีเลยก็ได้ เคยสงสัยมานานว่าในเมื่อราเมงไม่ค่อยมีหมู มีโปรตีน แต่ทำไมถึงแพงจัง ร้านธรรมดาๆ ก็ขาย 500-1,200 เยน แล้ว ลองหาคำตอบดูพบว่ากรรมวิธีการทำราเมงนั้นมีความยุ่งยาก ต้องเคี่ยวน้ำซุปนาน 6-10 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้น ตามสูตรของแต่ละร้าน เคี่ยวจนมีน้ำจากไขกระดูกสีขาวขุ่นออกมา (คอลลาเจน) เส้นก็ทำจากแป้งสาลีมีการนวดเส้น

ก็สรุปว่าแพงเพราะน้ำซุปนั่นแหล่ะครับ

ชามนี้ราคา 1,100 เยน ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 บาทนิดๆ

มีหมูให้เยอะ อิ่ม อร่อย ใช้ได้ครับ

ทานข้าวเสร็จก็เที่ยงพอดี ถัดจากร้านราเมงไปไม่ไกลก็จะเป็นทางขึ้นวัด ซึ่งจะมีทางขึ้นหลายทาง จะขึ้นบันไดไหนก็ได้

วัดยามาเดระ Yamadera Temple

เป็นวัดที่อยู่บนภูเขามีวิวสวย อยู่ในจังหวัด Yamagata ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ Yamagata วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 860 หรือพันกว่าปีมาแล้ว เป็นวัดพุทธนิกาย Tendai ชื่ออย่างเป็นทางการของวัดคือชื่อ Risshakuji แต่คนนิยมเรียกว่า Yamadera มากกว่า ซึ่งมีความหมายว่า “วัดภูเขา”

ชื่อเสียงของวัดได้รับการถูกกล่าวขานจากผลงานของกวี Matsuo Basho เขาเป็นกวีที่มีชื่อเสียงในสมัยเอโดะยุคต้นๆ Edo Period (ค.ศ. 1603 – 1867) Matsuo Basho ได้แวะพักที่ Yamadera ในระหว่างเดินทาง และแต่งบทกวีสั้นๆ (Haiku) เกี่ยวกับความเงียบสงบของพื้นที่นี้

การขึ้นไปชมความงามของวัดจะต้องเดินขึ้นบันไดหินประมาณ 1,000 ขั้น เส้นทางร่มรื่นเหมือนอยู่ในป่าสน ระหว่างทางจะมีโคมหิน

อาคารหลักของวัดอยู่ด้านล่าง Yamadera’s Main Hall หรือ Konponchudo Temple สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1356

ผู้ที่ไปกับเพื่อน/ครอบครัว แล้วไม่สะดวกเดินขึ้นเขา สามารถนั่งรอได้ตามร้านน้ำ

อันนี้ก็ร้านน้ำอีกร้าน มีของกินเล่นเล็กๆ น้อยๆ แนะนำให้ซื้อน้ำติดตัวไปทานด้วย เดินขึ้นเขาจะเหนื่อยและหิวน้ำ

ร้านขายเครื่องรางของทางวัด คนไทยบางคนก็ชอบซื้อกลับมา ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

รูปปั้นของกวี Statue of Basho and Sora

แผนที่วัด และสถานที่สำคัญต่างๆ

ป้ายเตือนมีลิงป่าอยู่ในบริเวณนี้ ถ้าเจอให้เดินหนี ห้ามถ่ายรูป

ค่าเข้า – เวลาทำการ

การเข้าชมวัดบนภูเขา มีค่าเข้าชม 300 เยน เปิด 8.00-17.00 น.

ทางเดินขึ้นไปยังด้านบนจะเป็นบันไดหิน ทางกว้าง มีราวจับ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ และป่าสน มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้เดิน ให้เดินช้าๆ เดินบ้างพักบ้าง ถ้าโหมเดินเร็วๆ รับรองว่าวันรุ่งขึ้นจะปวดร้าวไปทั้งขา ถ้ามีร่ม ไม้ปีนเขาก็เอามาใช้ผ่อนแรงได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร

บางช่วงมีป้ายแผ่นหิน และ โคมหิน

ต้นไม้สูงมาก

เราเดินช้าๆ ถ่ายรูปไปด้วย ถ่าย VDO ด้วย GoPro ไปด้วย เพียง 9 นาทีก็มาถึงที่พักกลางทาง ส่วนมากเป็นคนสูงอายุที่นั่งพัก

ตั้งแต่ช่วงกลางทางขึ้นไปก็จะเห็นซุ้มประตู และ อาคารของวัดหลายอาคาร เป็นอาคารไม้สร้างได้กลมกลืนกับธรรมชาติ

ซุ้มประตู Niomon Gate สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19

รูปล่าง อาคาร Shakado สร้างอยู่ในหน้าผาหิน หาทางเข้าไม่เจอ น่าจะเข้าได้เฉพาะคนในวัด

กลุ่มอาคารโซนด้านบน บางอาคารก็เพิ่งสร้างใหม่

มองลงไปด้านล่างเห็นวิวสวย เป็นเมืองเล็กๆ ที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา

อาคาร Kaizando สร้างเพื่ออุทิศให้กับผู้ก่อตั้ง Jikaku Daishi และ Nokyodo (สีแดง) เป็นอาคารที่อยู่ข้างกัน

เดินไปอีกไม่ไกลจะเจอกับ Godaido Hall จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มาวัดนี้ เป็นศาลาเปิดโล่งยื่นออกจากหน้าผา มองเห็นวิวหุบเขาที่อยู่ด้านล่าง

สรุปว่าเราใช้เวลาขึ้น 22 นาที โดยวัดจากจุดที่ขายบัตรจนถึงศาลา Godaido Hall

วิวมุมต่างๆ ที่ถ่ายจาก Godaido Hall

รูปล่าง แม่น้ำ Tachiya และ สถานี Yamadera ที่เราลงรถไฟ

หมู่บ้านที่อยู่ด้านหลังสถานี Yamadera

ภายในศาลาเต็มไปด้วยกระดาษข้อความภาษาญี่ปุ่น เป็นแผ่นคล้ายนามบัตรก็มี ดูเผินๆ คล้ายพวกโฆษณาเงินกู้รายวัน ที่ชอบติดไปตามป้ายรถเมล์ แต่คงไม่เหมือนกับที่ไทย

รูปด้านล่างเป็นมุมถ่ายรูปที่สวยของวัด ถ่ายตอนขาลงจาก Godaido Hall

ขาลงไม่แวะข้างทาง เดินลงยาวๆ ใช้เวลาไปประมาณ 15 นาที

รูปด้านบนเป็นหอระฆัง Shoro

จากนั้นนั่งรถไฟไป Yamagata รอบ 13:16 – 13:34 น.

Yamadera-Yamagata / JR Senzan Line  for YAMAGATA  ใช้ JR East Tohoku ได้

นั่งรถไฟเพียง 18 นาทีเราก็มาถึงสถานี Yamagata เป็นสถานีใหญ่ของจังหวัด Yamagata มีรถไฟ Shinkansen สาย Yamagata Shinkansen จอดที่สถานีนี้ด้วย

จังหวัดยามากาตะ Yamagata

เป็นจังหวัดชายฝั่ง ทางทิศใต้ของภูมิภาค Tohoku มีเมือง Yamagata เป็นเมืองหลวง คนมักจะรู้จักจังหวัด Yamagata ว่าเป็นเมืองแห่งการเกษตร สถานที่ชมซากุระ และ บ่อน้ำร้อน สถานที่สำคัญของ Yamagata ก็มีบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งปราสาท Yamagata Castle ซึ่งปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ Kajo Park

การเดินทางไปปราสาท Yamagata Castle

จากสถานี Yamagata ออกทางฝั่ง West แล้วเดินไปทางทิศเหนือ ใช้เวลาเดินประมาณ 13 นาที

ก่อนจะถึงปราสาทมีต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ให้เราได้แวะถ่ายรูป

สิ่งที่น่าสนใจในสวนสาธารณะ Kajo Park ก็มีปราสาท Yamagata Castle Yamagata museum of Art และ Yamagata City Local History Museum

Yamagata City Local History Museum

เป็นอาคารเก่า สถาปัตยกรรมแบบกิโยฟุ (Giyōfū architecture)* รูปทรงจะดูคล้ายแบบยุโรป และมีการผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นลงไป ที่นี่เคยเป็นโรงพยาบาลเก่า Saiseikan Hospital ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ ในปี ค.ศ.1966

โรงพยาบาล Saiseikan Hospital สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1878 เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งแรก ชื่อโรงพยาบาล Saiseikan เป็นชื่อที่มาจาก Sanjō Sanetomi เจ้าชายแห่งราชวงค์อิมพีเรียลในยุคเมจิ

ปัจจุบันเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ ชมได้ทั้งดานในและด้านนอก เปิดให้เข้าชมฟรี 9.00-16.30 น.

ปิด 29-3 มกราคม

 

สถาปัตยกรรมแบบกิโยฟุ (Giyōfū architecture)

เป็นสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในช่วงต้นของยุคเมจิ โดยเริ่มมาจากเมือง Yokohama ซึ่งเป็นเมืองท่าที่เปิดรับวัฒนธรรมชาวต่างชาติ ที่เข้ามาค้าขาย การก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมแบบกิโยฟุ จะใช้ช่างไม้ชาวญี่ปุ่น ก่อสร้างแบบดั้งเดิม ไม่ได้ใช้เทคนิคการก่อสร้างแบบตะวันตก ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สถาปัตยกรรมแบบกิโยฟุค่อยๆ หายไป เนื่องจากมีความรู้แบบตะวันตกเข้ามากลายเป็น western style แบบแท้ๆ ไปเลย

บรรยากาศร่มรื่น ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว

จากที่ไปเที่ยวมาหลายเมือง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อนุรักษ์ของเก่าได้อย่างดี ของเก่าแก่กว่า 100 ปี ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ใช้งานได้อยู่

ใช้เวลาชม Yamagata City Local History Museum ไม่ถึง 10 นาที ก็เดินต่อไปยังปราสาทที่อยู่ใกล้ๆ กัน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมรอบปราสาท แต่ไม่สามารถเข้าชมในตัวปราสาทได้

ปราสาทยามากาตะ Yamagata Castle (山形城跡)

สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1592 โดย Mogami Yoshiaki เพื่อเป็นศูนย์รวมการปกครองของยามากาตะ ในอดีตปราสาทเคยมีกำแพงที่ซับซ้อนเพื่อป้องกันการรุกราน มีการสำรวจมาว่าปราสาทยามากาตะ มีความใหญ่อันดับ 5 ของปราสาทในญี่ปุ่น มีการใช้งานปราสาทจนถึงปี ค.ศ. 1872 หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งร้างให้เสื่อมโทรม จนกระทั่งปี ค.ศ. 1986 มีการบูรณะ ปรับปรุงใหม่ สิ่งก่อสร้างบางอย่างก็สร้างใหม่ อย่างเช่น ประตูฝั่งตะวันออก ต่อมาพื้นที่บริเวณปราสาทก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Kajo Park

อนุสาวรีย์ Mogami Yoshiaki อยู่ในท่าขี่ม้า

ซากุระมากกว่า 1,000 ต้น

สิ่งที่น่าสนใจในพื้นที่ปราสาท ไม่ได้มีแค่ตัวปราสาท ยังมีต้นซากุระกว่า 1,000 ต้น ที่มีการปลูกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1906 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War) สงครามครั้งนี้ญี่ปุ่นเป็นผู้ได้รับชัยชนะ ช่วงนั้นญี่ปุ่นเป็นประเทศที่แผ่อิทธิพลมาไกล รบกับจีน เกาหลี ได้ชัยชนะหมด ใครชอบประวัติศาสตร์ต้องลองไปหาอ่านเพิ่มดู ถ้าเล่าอีกเดี๋ยวจะยาว

ช่วงที่ดอกซากุระบาน ประมาณกลางเดือนเมษายน หรือ ช่วงสงกรานต์ หากใครจะมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้ แนะนำภูมิภาค Tohoku เลย

ซากุระใบจะเริ่มร่วงตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม

หมดภารกิจในเมือง Yamagata แล้ว เราก็นั่งรถไฟสาย JR Senzan Line กลับ Sendai ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

16.36 น. ถึงสถานี Sendai เข้าโรงแรมไปเช็คอินก่อน โรงแรม Daiwa Roynet Hotel Sendai เป็นโรงแรมที่เราชอบที่สุดในทริปนี้ ขอรีวิวแบบคร่าวๆ ไว้เป็นข้อมูลกับคนที่กำลังหาที่พักใน Sendai

Daiwa Roynet Hotels

เป็นเชนโรงแรมที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น มากกว่า 50 แห่ง ทำเลใกล้สถานี เน้นให้ความสำคัญ 3 อย่าง safety, security, cleanliness รูปแบบที่พักก็จะเป็น Business Hotel เรทประมาณ 3 ดาว

ที่ตั้ง – ทำเลโรงแรม

ใกล้สถานี Sendai ฝั่งตะวันออก Exit 2 ประมาณ 70 เมตร แต่แนะนำให้ใช้ทางออก East Exit ดีกว่า เพราะมีบันไดเลื่อน สะดวกกับการเดินทางพร้อมกระเป๋าเดินทาง ข้างโรงแรมเป็นร้าน Yodobashi ส่วนด้านล่างโรงแรมเป็น 7-Eleven สะดวกมากๆ ทำเลไม่เปลี่ยว

การจองโรงแรม – ราคาที่พัก

จองผ่าน agoda แบบจองก่อนจ่ายที่หลัง ยกเลิกได้ไม่มีค่าธรรมเนียม ทาง agoda จะทำการตัดบัตรเครดิต 7 วันล่วงหน้าก่อนวันเช็คอิน ราคาที่พัก เฉลี่ยคืนละ 2,787 บาท ห้องพักแบบ Moderate Double room (เล็กกว่า Double room) ไม่รวมอาหารเช้า ราคาที่พักบางวันลดราคาเหลือ 2,000 บาทต้นๆ ก็มี ต้องลองเช็คราคาดูที่ปุ่มด้านล่าง

รูปบนทางออก East Exit มองเห็นตึกโรงแรมเลย

การเช็คอิน

ยื่น Passport พร้อมกับ Hotel Voucher Agoda และ เซ็นชื่อเข้าพัก พนักงานให้แผ่นมาร์คหน้าเป็น complementary (ของให้ใช้ฟรี) และให้หยิบการแฟซอง (Drip Coffee) หยิบไปทานตามจำนวนวันเข้าพักได้เลย

การขึ้นลิฟต์และเปิดห้อง จะต้องใช้การ์ดของโรงแรม มีชื่อเราบนการ์ดด้วย น่าจะเป็นการ์ดแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ดูทันสมัยและปลอดภัยดี

ทางเดินภายในโรงแรม

เข้ามาในห้องแล้วต้องเสียบการ์ดให้ระบบไฟฟ้าทำงาน

เครื่องสีดำในรูปด้านบนเป็นเตารีดกางเกง โรงแรมนี้ใจถึงมากให้มีห้องละตัวเลย ปกติแล้วจะมีชั้นละ 1-2 ตัว

วิธีใช้เตารีดแบบนี้ ให้กดเปิดเครื่อง โดยที่เครื่องวางตั้งแบบนี้เลย แล้วกางแผ่นด้านข้างออก ใส่ขากางเกงเข้าไป แล้วให้เครื่องหนีบขากางเกง มันอาจจะไม่เรียบเหมือนเตารีดปกติ แต่ก็เรียบขึ้นแน่นอน

ขนาดห้องที่ระบุใน Agoda 20 ตารางเมตร ภายในห้องมี โซฟา โต๊ะ โคมไฟ ตู้เย็น TV กาต้มน้ำ

TV มีช่องหนังเรท 18+ ด้วย แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มประมาณวันละ 1,000 เยน

โคมไฟ ไดร์เป่าผม กระจกส่องหน้า ลองใช้ wifi ในห้องก็รวดเร็วดี ดู youtube ได้ไม่กระตุก

ขนาดที่นอนใหญ่ดี นอนสบายกว่า โรงแรม APA บนเตียงมีหมอนข้างให้ด้วย +หมอน 4 ใบ ที่หัวเตียงมีโคมไฟ และนาฬิกาปลุกดิจิตอล

มีเครื่องฟอกอากาศในห้อง

ชุดยูกาตะสำหรับใส่นอน

ภายในห้องน้ำกว้างขวางดี ห้องน้ำเป็นแบบสำเร็จรูป ชักโครกอัตโนมัติ

ของใช้ในห้องน้ำมีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน มีดโกนหนวด หวี โฟมล้างมือ-หน้า สบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผม

เก็บของเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเดินเล่น และหาข้าวทาน รอบๆ สถานี Sendai เห็นมืดๆ แบบนี้ เวลา 17.11 น. เอง ยังไม่ดึกเลย

ฝั่งที่เราพักเป็นฝั่งตะวันออกของสถานี Sendai ฝั่งนี้จะเงียบ ส่วนโซนร้านค้า ย่านช๊อปปิ้งจะอยู่ฝั่งตะวันตก

เราเดินทะลุสถานีมายังฝั่งตะวันตก บริเวณหน้าสถานีจะมีทางเดิน Sky walk เชื่อมกับห้าง และ ตึกต่างๆ ส่วนด้านล่าง Skywalk ก็จะเป็นท่ารถบัส

ห้าง-ร้าน ชื่อดัง บริเวณนี้ก็มี PARCO, S-PAL, MUJI, LOFT, AEON, YAMADA DENKI (LABI), Daiso, Matsumoto Kiyoshi, Uniqlo, Donki ฯลฯ

มื้อเย็นฝากท้องกับร้านท้องถิ่นหน้าสถานี ข้าวทงคัตสึ + กุ้งทอด อิ่มอร่อยจนจุก ในราคา 1,000 กว่าเยน

อิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ถนนช้อปปิ้ง Clis Road (クリス) ที่อยู่ตรงข้ามตึก AER

แผนที่ใน Google map

ถนนคนเดิน Clis Road เส้นนี้เริ่มต้นที่หน้าสถานี Sendai ยาวไปประมาณ 500 เมตร คล้ายถนนชินไซบาชิ ที่นัมบะ โอซาก้า ร้านในย่านนี้ก็มีร้านขายยา เครื่องสำอางเสื้อผ้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านเกม ตู้คีบตุ๊กตา เป็นถนนคนเดินที่ดูคึกคักที่สุดใน Tohoku กว่าทุกที่ที่เราไปมา

วันนี้เป็นเพียงการเดินเล่น ไม่ได้มาเจาะลึกอะไร เอาแค่คร่าวๆ ให้รู้ว่ามีอะไรบ้าง แล้วเราจะแวะมาใหม่ ก่อนบินกลับ

ด้านหน้าสถานีมีตึก AER จุดชมวิวเมือง Sendai วันพรุ่งนี้เราจะขึ้นไปชมวิวกัน

ส่วนวันนี้ขอไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างก่อน พรุ่งนี้จะพาไปชมวิวบนตึก AER เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในเซนได้ และในภูมิภาคโทโฮคุ ติดตามตอนต่อไปนะครับ

อ่านตอนต่อไป ชมวิวชั้น 31 ตึก AER จุดชมวิวฟรี ใกล้สถานี Sendai

Post Views 1144

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *