เที่ยวนางาซากิ Nagasaki Peace Park – Glover Garden – สะพานแว่นตา

จากตอนที่แล้ว –> รีวิวเที่ยวเบปปุ Beppu ใน 1 วัน ชมบ่อนรกจิโกกุ Jigoku

วันนี้เป็นวันที่ 4 ของทริปคิวชู และเป็นวันที่ 3/5 ของการใช้งาน JR Kyushu Northern โปรแกรมคร่าวๆ ของวันนี้ เราจะย้ายเมืองไปนอนที่นางาซากิ และเที่ยวในนางาซากิ Peace Park, Fountain of Peace, จุดระเบิดตก Atomic Bomb Hypocenter, Atomic Bomb Museum และ Chinatown

7:40 น. เรา Check out ออกจากโรงแรม โรงแรมในญี่ปุ่นแค่คืนกุญแจ หรือ Key card ก็ถือว่าการ Check out เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประเทศนี้เน้นการเชื่อใจกัน ไม่ต้องรอแม่บ้านไปตรวจห้อง ไม่ต้องเสียเวลารอในการ Check out

เดินทางไปนางาซากิ

10 นาทีต่อมาเราก็มาถึงสถานี Oita การเดินทางในวันนี้เราใช้เส้นทาง Oita – Hakata (Fukuoka) – Nagasaki ใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 5 ชั่วโมง เป็นการนั่งรถไฟที่นานที่สุดของทริปนี้เลย

ตั้งแต่ Oita ไปจนถึง Nagasaki เราใช้ JR Kyushu Northern เส้นทางนี้ JR Cover หมด

ภูมิภาคคิวชูการขึ้นบันไดเลื่อนจะยืนชิดซ้าย เว้นช่องทางขวาให้กับคนที่รีบ ต้องการเดินขึ้น

ขบวนรถไฟที่นั่งไป Hakata จะเป็นขบวน LTD. EXP SONIC 14 ใช้เวลาเดินทาง 133 นาที กับระยะทาง 200.1 กิโลเมตร

รถไฟจะเป็นรุ่น 885 Series เป็นรถไฟฟ้าผลิตโดยบริษัท Hitachi หน้าตารถไฟดูคล้ายกับ Shinkansen แต่ไม่ใช่ สเปคของ 885 Series ทำความเร็วได้สูงสุดเพียง 130 กิโลเมตร / ชั่วโมง ต่างกับ Shinkansen ที่ทำความเร็วได้สูงสุด 300 กิโลเมตร / ชั่วโมง

LTD. EXP SONIC 14  รถไฟขบวนนี้มีทั้งตู้แบบจองที่นั่ง และไม่จองที่นั่ง เราไม่ได้จอง เลยไปต่อแถวเข้าตู้ที่ไม่ต้องจอง (Unreserved seat) เป็นตู้หมายเลข 6 ตู้นี้จะอยู่หน้าขบวน ซึ่งจะต่างกับรถไฟทั่วไปที่ตู้หมายเลข 6 จะต้องอยู่ตรงท้าย เดี๋ยวจะบอกให้ว่าทำไมถึงเรียงเลขแบบนี้

ที่นั่งในรถไฟเป็นที่นั่งฝั่งละ 2 เบาะที่นั่งเป็นเบาะหนังสีน้ำตาล เบาะค่อนข้างใหญ่ นั่งสบายมาก พื้นรถไฟเป็นพื้นไม้ ที่เก็บของเหนือศรีษะมีฝาปิดคล้ายเครื่องบิน

หน้าเบาะมีช่องสำหรับเสียบตั๋ว ใครต้องการนอนพักผ่อนก็ให้เสียบตั๋วไว้ เวลาเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วก็หยิบได้เลย ไม่ต้องโดนปลุก

วิวข้างทางส่วนมากจะเป็นที่นา แปลงเกษตร มีสถานีระหว่างทางชื่อแปลก ชื่อสถานี USA อ่านว่าอุซะ ดันไปคล้ายกับตัวย่อ “ยูเอสเอ” ประเทศสหรัฐอเมริกา

9:37 น . รถไฟมาถึงสถานี Kokura สถานีนี้มีประกาศบนรถไฟว่ารถไฟจะกลับขบวน ผู้โดยสารจะต้องลุกขึ้นจากเบาะหมุนเก้าอี้กลับทาง ส่วนที่เคยเป็นหัวขบวนก็จะกลายเป็นท้ายขบวน นี่เป็นคำตอบว่าทำไมตู้หมายเลข 6 ที่สถานี Oita ถึงเป็นหัวขบวน เพราะเมื่อถึงสถานี Kokura ตู้ 6 ก็จะกลายเป็นท้ายขบวน

10:23 น. เราถึงสถานี Hakata แวะทานข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya ข้างสถานี มื้อนี้อิ่มอร่อย ในราคาเบาๆ 4 ร้อยกว่าเยน

เดินทางต่อไปนางาซากิ

ทานข้าวเสร็จก็ขึ้นรถไฟขบวนต่อไป Hakata – Nagasaki ด้วยขบวนรถไฟ LTD. EXP KAMOME 19 ออกจาก Hakata 11:15 น. ถึง Nagasaki 13:22 น. ใช้เวลาเดินทาง 127 นาทีกับระยะทาง 153. 9 กิโลเมตร

ลองคำนวณความเร็วรถไฟแบบคร่าวๆ เวลาเดินทาง = เวลาทั้งหมด – เวลาที่จอดตามสถานีระหว่างทาง, 127 – 6 = 121 นาที

ความเร็วเฉลี่ย 153.9/121 = 1.27 กิโลเมตร / นาที

หรือ 76.31 กิโลเมตร / ชั่วโมง จัดว่าเป็นเส้นทางที่รถไฟวิ่งค่อนข้างช้า

LTD. EXP KAMOME 19 ใช้รถไฟรุ่น 787 series หน้าตารถไฟจะแปลกตาไม่ค่อยเหมือนที่ไหน นี่เป็นเอกลักษณ์ของรถไฟคิวชู ที่ใช้จุดขายของรถไฟในการโปรโมทให้คนมาเที่ยว 787 series เป็นรถไฟฟ้า ผลิตโดยบริษัท Hitachi, Kinki Sharyo ทำความเร็วได้สูงสุด 130 กิโลเมตร / ชั่วโมง

รถไฟเที่ยวนี้เราจองที่นั่งได้ ในตู้ที่ 2

ภายในก็คล้ายกับ 885 Series ที่เพิ่งนั่งมา แต่เบาะจะเป็นเบาะผ้า กำมะหยี่ เบาะใหญ่ นั่งสบาย และพื้นจะเป็นพรม

ระหว่างทางไป Nagasaki มีทางโค้ง และวิ่งเข้าอุโมงค์ลอดภูเขาอยู่หลายครั้งทำให้รถไฟไม่สามารถทำความเร็วได้

ช่วงก่อนถึง Nagasaki วิวข้างทางเป็นชนบทมากๆ บ้านคนมีน้อย คนอยู่กันอย่างเบาบาง

กว่าจะถึงนางาซากิ 

13:22 น. เราก็มาถึงสถานี Nagasaki สถานีนี้เป็นสถานีใหญ่เป็นจุดต่อรถไฟไปเมืองอื่น และเป็นศูนย์กลางการเดินทางในเมือง Nagasaki

นางาซากิ (Nagasaki : 長崎)

เป็นเมืองหลวงของจังหวัด Nagasaki ตั้งอยู่บนเกาะคิวชู ในอดีตเมือง Nagasaki เป็นเมืองท่าที่สำคัญของญี่ปุ่น มีชาวยุโรป โดยเฉพาะชาวโปรตุเกส เข้ามาค้าขายในช่วงคริสตวรรตที่ 16-19 และการเข้ามาของชาวโปรตุเกสได้นำศาสนาคริสต์มาเผยแพร่ด้วย เราจะเห็นได้จากโบสถ์คริสเก่าแก่หลายโบสถ์ที่สร้างขึ้นในสมัยคริสตวรรตที่ 16-19

ความสำคัญของเมือง Nagasaki ไม่เพียงแต่เป็นเมืองท่าเท่านั้น ยังเป็นเมืองที่เคยโดยทิ้งระเบิดปรมาณู Fatman ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คู่กับเมือง Hiroshima แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตในเมือง Nagasaki ถึง 80,000 คน และยังทำให้เมือง Nagasaki พังราบในแนวรัศมี 2 – 3 กิโลเมตรจากจุดศูนย์กลางที่ระเบิดลง

Nagasaki ในวันนี้ได้ฟื้นตัวจากเมืองที่โดนทิ้งระเบิด มีการสร้างเมือง ถนน หนทางขึ้นใหม่ แต่ยังคงเก็บเรื่องราวในอดีตไว้ในรูปแบบสวนสันติภาพ (Peace park) และพิพิธภัณฑ์ (Atomic Bomb Museum) ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงเรื่องราวในอดีต

ออกมาด้านนอกสถานีก็เจอกับรถราง เมือง Nagasaki เป็นเมืองที่มีการใช้รถราง (Streetcar) ในพื้นที่ตัวเมือง (แต่ไม่มี Subway) รถรางนี้จะวิ่งบนถนนข้างๆ รถยนต์เลย ส่วนเมืองอื่นที่มีรถรางนอกจาก Nagasaki ก็มี Hiroshima, Kumamoto และ Kagoshima

เราจะเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยไปเที่ยว Nagasaki Peace Park

ที่พักของเราอยู่หน้าสถานี Nagasaki ข้ามสะพานลอยมาฝั่งตรงข้าม เข้าซอยที่มีร้านข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya กับ Family Mart อยู่ปากซอย

เดินเข้าซอยไปนิดเดียวเท่านั้นก็ถึงโรงแรม HOTEL WingPort NAGASAKI โรงแรมนี้ชอบมากที่สุดในทริปนี้เลย ห้องที่จองไว้เป็นห้อง Semi Double Non Smoking room ราคา 7,300 เยน หรือประมาณ 2,467 บาท

เราไปถึงโรงแรมตอน 13:30 น. คิดไว้ว่าถ้าโรงแรมยังไม่ให้ Check in ก็จะขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน แต่โชคดีโรงแรมมีห้องว่างพอดีเลยให้ Check in เลย

ภายในห้องพัก ขนาดเล็กตามมาตราฐานญี่ปุ่น แต่ของมีให้ครบ TV, ตู้เย็น, กาน้ำร้อน ชา กาแฟ ไดร์เป่าผม

หัวเตียงมีโคมไฟ นาฬิกาปลุก และโทรศัพท์

ห้องน้ำจะอยู่ด้านหน้า ช่องว่างระหว่างประตูและห้องน้ำจะเป็นราวแขวนเสื้อผ้า

ภายในห้องน้ำ สะอาดมากถึงมากที่สุด สิ่งของเครื่องใช้ดูใหม่

ชักโครกอิเล็กโทรนิกส์ น้ำฉีดปรับความแรงได้ด้วย

อ่างอาบน้ำขนาดเล็ก นั่งแช่แบบงอเข่าได้

นั่งพักให้หายเหนื่อย จากนั้นก็ออกเที่ยวเบาๆ ในนางาซากิ Peace Park, Fountain of Peace, จุดระเบิดตก Atomic Bomb Hypocenter, Atomic Bomb Museum และ Chinatown

การเดินทางจะใช้วิธีนั่งรถราง (Streetcar) เท่านั้น โดยจะขึ้นที่ป้าย Nagasaki Eki-Mae หรือป้ายหน้าสถานี Nagasaki

คลิกที่ภาพเพื่อดูแผนที่ขนาดใหญ่

รถราง (Streetcar) นางาซากิ

  1. รถรางจะมีอยู่ด้วยกัน 5 สาย คือสาย 1-5 แต่บางแผนที่จะแสดงแค่ 4 สาย ไม่มีสายสีดำ หมายเลข 2 เข้าใจว่าเป็นเส้นทางทับซ้อนกัน
  2. รถรางมีหลายรุ่น แบบเก่าคลาสสิค แบบทันสมัย ขึ้นได้เหมือนกันหมด
  3. รถรางคิดค่าโดยสารราคาเดียว เที่ยวละ 120 เยน (เด็ก 60 เยน) และมีพาสแบบ 1 วันใช้นั่งรถรางได้ไม่จำกัด ราคา 500 เยน
  4. การจ่ายค่าโดยสารไม่สามารถใช้ IC Card (SUICA, ICOCA ฯลฯ) จ่ายได้ ส่วนบัตรแทนเงินสดจะเป็น Smartcard ซึ่งใช้ได้เฉพาะในเมืองนางาซากิเท่านั้น
  5. มีจุด Transfer ที่ป้าย Tsuki-Machi (31) ผู้โดยสารที่ Transfer ให้ขอตั๋ว Transfer กับคนขับรถ และเมื่อลงรถที่ปลายทางให้ยื่นตั๋ว Transfer กับคนขับ ไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม
  6. ที่ด้านหน้ารถ และหลังรถจะมีเครื่องแลกเหรียญจากธนบัตร 1,000 เยน เป็น 100 เยน x 10 และอีกช่องสำหรับแลกเหรียญ 100 เยน เป็น 10 เยน x 10

การขึ้นรถราง

  1. ขึ้นตรงกลาง ลงด้านหน้า
  2. มีประกาศก่อนถึงป้าย เมื่อต้องการลง ให้กดกรึ่งก่อนลง
  3. หยอดเหรียญ 120 เยนลงกล่องข้างคนขับ หรือถ้าใช้พาส ก็โชว์พาสฝั่งที่มีวันที่ให้คนขับดู

วันนี้เราเดินทาง 3 ครั้ง ค่าโดยสาร 120 x 3 = 360 เยน จ่ายค่าโดยสารเป็นเงินสด เพื่อความสะดวกเราเตรียมเหรียญไว้ก่อนขึ้นรถรางเลย

สวน Peace Park นั่งรถรางสาย 1 หรือ 2 ไปลงป้าย Matsuyama-Machi (19)

ภายในรถรางเป็นเบาะยาวขนานไปกับตัวรถ มีราวจับตรงกลางสำหรับผู้โดยสารที่ยืน คนขึ้นค่อนข้างเยอะ ในรูปด้านบนที่เห็นโล่งๆ คือถ่ายที่สุดสาย คนลงหมดแล้ว

นั่งรถรางมาประมาณ 12 นาทีเราก็มาถึงป้าย Matsuyama-Machi (19) เดินมาทางขวาจะเห็นสี่แยกไฟแดง ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ตรงที่มีบันไดเลื่อนขึ้นด้านบน ก็ถึง Peace Park แล้ว

สถานที่สำคัญบริเวณนี้เคยเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณู Fatman เมื่อ สิงหาคม ค.ศ. 1945 สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ เป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความรุนแรง

Peace Park (สวนสันติภาพ) สร้างขึ้นเพื่อปรารถนาที่จะให้เกิดสันติภาพ หลังจากเหตุการณ์ระเบิดต้นไม้และหญ้าในบริเวณนี้ไม่สามารถขึ้นได้เป็นเวลาหลายสิบปี แต่ในปัจจุบันต้นไม้ปลูกได้ตามปกติแล้ว

น้ำพุใน Peace Park จะมีน้ำเต็มตลอดเวลา เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรื่องราวในอดีตตอนที่ระเบิดลง ประชากรขาดแคลนน้ำดื่ม กระหายน้ำจนเสียชีวิต

ถังน้ำ และน้ำดื่มเพื่ออุทิศให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้

ถัดจากน้ำพุไปไม่ไกลเป็นเทพีเสรีภาพ (Peace Statue) รูปปั้นผู้ชายสีฟ้า สัญลักษณ์ของเมืองนางาซากิ รูปปั้นนี้ออกแบบโดย Seibo Kitamura ชาวนางาซากิ

มือที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้าหมายถึงอันตรายจากระเบิดปรมาณู ส่วนมือซ้ายที่กางออกด้านข้างเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ดวงตาที่กำลังจะปิดแสดงถึงการอธิษฐานขอให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้หลับให้สบาย

บริเวณหน้ารูปปั้นมีช่อดอกไม้มาวางไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต

ในพื้นที่สวนจะมีผลงานศิลปะของชาติต่างๆ ส่งมาร่วมจัดแสดงเพื่อส่งเสริมให้เกิดสันติภาพ

แท่งเสาสีดำในรูปด้านล่างเป็น Hypocenter of The Atomic Bomb หรือจุดศูนย์กลางของการระเบิด

เมื่อเวลา 11.02 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 มีระเบิดที่ระดับความสูง 500 เมตรจากจุดนี้ (ระเบิดก่อนตกถึงพื้น) แรงระเบิด และความร้อนกว่า 1,000 องศาทำให้เมืองกลายเป็นซากในทันที เมืองนางาซากิได้รับความเสียหาย 1/3 ของพื้นที่ มีผู้บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิตกว่า 150,000 คน

กำแพงอิฐในรูปด้านบน เป็นซากของโบสถ์ Urakami Cathedral ที่ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางระเบิด 500 เมตร แรงระเบิดทำให้โบสถ์พังทั้งหลัง และได้มีการเคลื่อนย้ายซากของโบสถ์ Urakami Cathedral เพื่อเป็นอนุสรณ์ยังตำแหน่งนี้

รูปปั้นผู้หญิงอุ้มเด็ก

จาก Hypocenter of The Atomic Bomb เดินมาอีกประมาณ 150 เมตร ก็จะถึง Nagasaki Atomic Bomb Museum พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ระเบิดในเมืองนางาซากิ

Nagasaki Atomic Bomb Museum

พิพิธภัณฑ์นี้เปิดเมื่อ เมษายน ค.ศ.1996 ตรงกับเวลาครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ระเบิด ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของที่เสียหายจากแรงระเบิด และรูปภาพจากเหตุการณ์จริง การจัดแสดงจะทำลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การทิ้งระเบิด

ค่าเข้าชม. ผู้ใหญ่ 200 เยน, เด็ก 100 เยน

การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จะต้องเดินลงไปที่ชั้น B2F

ห้องแรกที่จะจำลองบรรยากาศโบสถ์ Urakami Cathedral มีคลิป VDO เหตุการณ์ และสิ่งของที่ได้รับความเสียหายจากความร้อน และ แรงระเบิด ภาพที่เป็นไฮไลต์ของเหตุการณ์จะเป็นภาพเมฆรูปดอกเห็ดที่ลอยตัวสูงถึง 18 กิโลเมตรเหนือจุดระเบิดของ Fat Man

คนญี่ปุ่นที่มาเข้าชมดูจะตั้งใจดูมาก เป็นประวัติศาสตร์การสูญเสียครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น

ระเบิด Fat Man จำลอง ที่อเมริกาใช้ถล่มนางาซากิ จนสุดท้ายญี่ปุ่นต้องยอมแพ้ในสงคราม

มีอยู่ห้องหนึ่งที่จัดแสดงผลกระทบของระเบิด ที่เกิดขึ้นกับคน เช่นต้องพิการ และกัมมันตภาพรังสี ยังทำให้ชาวนางาซากิเป็นมะเร็งจำนวนมา หลังจากที่ชมพิพิธภัณฑ์นี้แล้วรู้สึกหดหู่ กับเหตุการณ์ แล้วความสูญเสียครั้งนี้ หวังว่าโลกเราจะมุ่งเข้าหาสันติวีธี ไม่ใช้ความรุนแรงเมื่อเกิดความขัดแย้ง

ชมพิพิธภัณฑ์ฯ เสร็จเวลา 16:00 น. สถานที่สุดท้ายที่เราจะไปในวันนี้เป็นย่านคนจีนในนางาซากิ หรือที่เรียกว่า Chinatown

การเดินทางไป Chinatown

นั่งรถรางจากป้าย Hamaguchi-Machi (20) ไปลง Tsuki-Machi (32) เดินเลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวก็จะเห็นซุ้มประตู Chinatown

Nagasaki Chinatown หรือ Shinchi Chinatown

เป็นหนึ่งในสามของ Chinatown ในญี่ปุ่น ชาวจีนที่เข้ามาอยู่ในญี่ปุ่น เข้ามาช่วงที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศค้าขายกับต่างชาติ คริสต์ศตวรรษที่ 17 ในย่านนี้จะมีร้านขายของฝาก และร้านอาหารจีนหลายร้าน เป็นจุดที่ทัวร์จีนพานักท่องเที่ยวมาแวะรับประทานอาหาร

ก่อนที่จะไปถึง เราจินตนาการว่าย่านนี้จะต้องคึกคัก คล้ายกับเยาวราชบ้านเรา แต่พอไปถึงกลับเงียบมาก ร้านค้าก็ไม่ได้มีหลายร้าน ของก็ไม่ค่อยมีขาย ส่วนมากจะเป็นร้านอาหาร ภัตตาคารมากกว่า เปรียบเทียบกับโกเบ ไชน่าทาวน์ที่เราเคยดูคึกคักกว่านี้เยอะ แนะนำตรงนี้เลยละกันว่ามานางาซากิแล้วไม่ได้มา Chinatown ก็ไม่ได้ถือว่าพลาดอะไร

จากนั้นเราก็นั่งรถรางกลับสถานี Nagasaki ที่สถานีมีห้าง Supermarket และ ร้านอาหาร หาทานมื้อเย็นจากที่นี่เลย

ระหว่างที่เดินบนสะพานลอย เห็นรถรางรุ่นคลาสสิคผ่านมาพอดีเลยถ่ายรูปเก็บไว้

คืนนี้ที่นางาซากิ เราหลับแต่หัวค่ำ เก็บแรงไว้เที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 5 ของทริปคิวชู เที่ยวในนางาซากิต่อ

ตื่นมาในตอนเช้า อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ Check out โรงแรมและขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน บ่ายแก่ๆ จะมารับกระเป๋าคืน ดูพยากรณ์อากาศวันนี้จะมีฝนตกถึงบ่ายโมงเลย แต่ถึงจะตกยังไงก็ยังคงต้องเที่ยวตามโปรแกรม

โปรแกรมในวันนี้เที่ยวในนางาซากิกันต่อ ไปสะพานแว่นตา Meganebashi Brigde, ดูดอกไม้ที่ Glover Garden, วัด Kofuku-ji และ วัด Sofukuji ต่อจากนั้นก็ไปโรงแรมรับกระเป๋า เดินทางไป Hataka พักโรงแรมเดิมที่ Hakata

ออกจากโรงแรมตอน 8 โมง อากาศไม่ค่อยดี ท้องฟ้าปิด ฝนตกปรอยๆ อุณหภูมิประมาณ 14 องศา

การเดินทางในเมืองนางาซากิวันนี้ ยังคงนั่งรถราง โดยจะเดินทาง 4 ครั้ง มีค่าเดินทาง 120 x 4 = 480 เยน จะจ่ายค่าโดยสารเป็นเงินสดหรือซื้อ One day pass ราคา 500 เยน ก็ไม่ต่างกันมาก ด้วยความที่อยากสะดวกและยืดหยุ่นในการเดินทางเลยเลือกซื้อเป็น One day pass

สถานที่ซื้อ One day pass for Streetcar จะอยู่ใน Information ด้านในสถานี Nagasaki พาสใบนี้สามารถขึ้นรถรางในนางาซากิได้อย่างไม่จำกัดใน 1 วัน

ราคา One day pass ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็ก 250 เยน

จ่ายเงินเสร็จก็จะได้พาส และ แผนที่เมืองนางาซากิ

เริ่มต้นการเดินทางที่ป้าย Nagasaki Eki-Mae หรือหน้าสถานี Nagasaki เห็นรถรางสวยๆ อดใจไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้

ลงที่ป้าย Nigiwaibashi (37) เดินเลียบแม่น้ำไปอีก 150 เมตร ก็จะเจอกับสะพานแว่นตา Meganebashi คำว่า Megane (メガネ) แปลว่าแว่นตา และ bashi (ばし) แปลว่าสะพาน

สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1634 ข้ามแม่น้ำนาคาจิมะ (Nakajima) เป็นหนึ่งในสะพานเก่าแก่และมีความสวยงาม วงละอองฟอง (La Ong Fong) เคยมาถ่ายทำเพลง คิด (Miss) ที่สะพานแห่งนี้ด้วย

กิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาสะพานแห่งนี้ก็จะเป็นการเดินลงไปถ่ายรูปกับก้อนหินที่เรียงขวางแม่น้ำ และหาก้อนหินรูปหัวใจที่ปะปนอยู่กับก้อนหินที่ผนัง

เราใช้เวลาหาอยู่นานพอสมควร ขอชี้จุดให้เลยนะครับ ก้อนหินรูปหัวใจจะอยู่ตรงฝั่งตรงข้ามบันไดที่ลงไปแม่น้ำ นอกจากก้อนหินรูปหัวใจ ก็ยังมีก้อนหินรูป i อีกด้วย

จากสะพานแว่นตาเดินต่อไปยัง วัด Koei-zan Choshoji Temple วัดนี้เป็นวัดพุทธ ของโรงเรียน Nichiren สร้างขึ้นโดย Nichiren Shonin (ค.ศ. 1222-82) ในช่วงคามาคุระ

วัดนี้เข้าได้ฟรี ภายในวัดค่อนข้างเงียบ

บรรยากาศภายในวัด

ถัดไปอีกไม่ไกลเป็นวัด Kofukuji วงละอองฟอง เคยมาถ่ายทำเพลง คิด (Miss) ที่นี่ด้วยเช่นกัน

ที่หน้าวัดมีรถสวยจอดอยู่ เลยถ่ายรูปมาฝาก รถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น จะมีรุ่นที่หลายหลากกว่าบ้านเราเยอะ เพราะบ้านเค้ามีแบรนด์รถยนต์มากมาย

วัด Kofukuji มีค่าเข้า 300 เยน วัดแห่งนี้เป็นวัดพุทธนิกายเซน สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1620 ที่ตั้งของวัดจะอยู่ตรงตีนเขา ตัววัดจะต้องเดินขึ้นบันไดไปนิดนึง

ภายในวัดมีอาคารไม้เก่า มีรูปปั้นในอาคาร

วัดถัดไปที่เราชม ชื่อวัด Koeiji temple หรือ Koyozan Koyeiji เป็นวัดที่ค่อนข้างเล็ก เข้าชมด้านในได้ฟรี สิ่งที่โดดเด่นในวัดนี้จะเป็นต้นแปะก๊วยที่มีขนาดใหญ่มาก อยู่ตรงกลางวัด

 

ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

ดูจากรูปเหมือนจะไม่ค่อยใหญ่ แต่ของจริงต้นใหญ่มาก

ที่ถนน Sakuramachi Dori ไม่ไกลจากวัด Koeiji temple เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองนางาซากิ ถนนเส้นนี้ปลูกต้นแปะก๊วย เวลาเปลี่ยนสีก็จะดูเหลืองไปทั้งถนนเลย

ช่วงเวลาที่เราไปเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ยังเหลืองไม่เต็มที่ซักเท่าไหร่ คาดว่าวันที่ 5-10 ธันวาคม คงจะสวยกว่านี้

10:30 น. ฝนก็ยังตกปรอยๆ มาอย่างต่อเนื่อง

สถานที่เที่ยวถัดไปจะเป็น Glover Garden เดินทางไปด้วยรถรางลงป้าย Ouratenshudo-Shita(50)

ลงจากรถรางเดินตามป้ายไปยัง Glover Garden ทางเดินจะเป็นเนิน ระหว่างทางมีร้านของฝาก ของที่ระลึกตลอดทาง

ของกินที่ขึ้นชื่อของเมืองนางาซากิจะเป็นร้านนี้ ซาลาเปาไส้หมูสามชั้น ราคาชิ้นละ 400 เยน

INORI-NO-OKA Picture book museum

โบสถ์ Oura Catholic Church โบสถ์เก่าแก่สร้างขึ้นในช่วงปลายของยุคเอโดะ เพื่อรองรับชาวคริสต์ ที่มาค้าขายกับนางาซากิ โบสถ์แห่งนี้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมตะวันตกแห่งแรกในญี่ปุ่น ปัจจุบันได้จดทะเบียนเป็นสมบัติชาติ การเข้าชมในโบสถ์มีค่าเข้า 600 เยน

เดินมาจนถึงที่จำหน่ายบัตรเข้าชม Glover Garden มีค่าเข้าคนละ 610 เยน

สวนโกลเวอร์ Glover Garden

พื้นที่บริเวณนี้เดิมเป็นที่พักอาศัยของชาวยุโรปที่มาค้าขายในเมืองนางาซากิ ภายในนี้ประกอบด้วยบ้านหลายหลัง เป็นบ้านสไตล์ยุโรป มีสวนดอกไม้สวยงาม สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1863 – 1887 วิวจาก Glover Garden มองเห็นทะเล ภูเขา และท่าเรือ ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยแห่งหนึ่งในนางาซากิ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองนางาซากิ

บันไดเลื่อนขึ้นไปยังบ้านด้านบน

วิวบนนี้เห็นภูเขา และบ้านเมืองนางาซากิที่สร้างลดหลั่นกันไปตามระดับความสูง

Former Mitsubishi No.2 Dock House

Former Mitsubishi No.2 Dock House

เป็นอาคาร 2 ชั้นสไตล์ยุโรป มีระเบียงที่หน้าห้อง สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1896 ในอดีตเป็นที่พักของลูกเรือ บริษัทมิตชูบิชิ ไว้พักตอนที่ซ่อมเรือ ด้านหน้าอาคารมีบ่อปลาคาร์ฟ

เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 จะมองเห็นวิว ภูเขา และท่าเรือ

ปลาคาร์ฟที่นี่สีสวย ตัวโต

Former Nagasaki District Court President’s Official Residence

บ้านอดีตผู้ว่าฯ นางาซากิ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1883 เป็นอาคารสไตล์ยุโรปของรัฐบาลเพียงหลังเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ ด้านในบ้านตกแต่งแบบญี่ปุ่น ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิ ปัจจุบันอาคารนี้เป็นสถานที่เช่าชุดพื้นเมืองยุโรป ค่าเช่า 600 เยน / 30 นาที

Former Walker House

บ้านพักนักธุรกิจชาวอังกฤษ Robert Neill Walker

Former Ringer House (หลังนี้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติชาติ)

บ้านพักสไตล์บังกะโล มีระเบียง 3 ด้าน สร้างขึ้นต้นสมัยเมจิ หินแกรนิตที่ระเบียงนำเข้ามาจากเมืองวลาดีวอสตอค (Vladivostok) ประเทศรัสเซีย

Former Alt Residence (หลังนี้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติชาติ)

วิวสวนที่หน้าบ้าน

Former Glover House (หลังนี้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติชาติ)

บ้านหลังนี้เป็นที่มาของชื่อ Glover Garden และเป็นบ้านที่สำคัญที่สุด สถาปัตยกรรมของบ้านแบบตะวันตก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1863 โดย Thomas Blake Glover พ่อค้าชาว Scotland ที่ตั้งของบ้านอยู่บนภูเขา Minami-Yamate ภายในบ้านสามารถเดินเข้าไปชมได้

ดอกไม้สวยหน้าบ้าน

ตำนานหินรูปหัวใจ

ที่พื้นทางเดินรอบบ้านมีก้อนหินรูปหัวใจ 2 ก้อน มีความเชื่อว่าถ้าได้แตะก้อนหินรูปหัวใจจะสมหวังในความรัก หินก้อนแรกจะอยู่ใต้ป้ายบอกทางที่อยู่ในสวน อีกก้อนจะอยู่ที่บ้านหลังถัดไป

ต้นปรงสาคู 300 ปี (รูปบน)

ต้นไม้ท้องถิ่นของญี่ปุ่น มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Sago palm  แต่เป็นพืชในกลุ่มของปรง ไม่ใช่ปาล์ม ต้นนี้มีอายุถึง 300 ปี

บ้านใน Glover Garden ที่เข้าชมได้ก็มีเท่านี้ ต่อจากนี้ก็ลงจากสวนไปยังด้านล่าง โดยทางออกจะผ่าน Nagasaki Tradition Performing Arts Museum (ไม่เสียค่าเข้า) ภายในมีสิ่งของที่ดูแล้วน่าจะเป็นเรือใช้ในการแห่ และมังกรอยู่ในห้องกระจก

12:00 น. แวะทานอาหารกลางวัน และนั่งรถรางไปลงป้าย Shokakuji-Shita (35) เที่ยววัด Sofukuji Temple เป็นที่สุดท้าย

Sofukuji Temple

วัดโซฟุคุจิ เป็นวัดพุทธนิกายเซน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1629 สำหรับคนจีนที่อยู่ในนางาซากิ สถาปัตยกรรมของวัดจะมีความเป็นจีนมากกว่าวัดอื่น การเข้าชมในวัดจะมีค่าเข้า 300 เยน

อาคารไม้ภายในวัด

พระพุทธรูป

โปรแกรมเที่ยวนางาซากิที่เราวางแผนไว้ ก็เป็นอันครบพอดี ตามเวลาที่กำหนด ต่อจากนี้เราจะนั่งรถรางไปลงที่สถานี Nagasaki รับกระเป๋าคืนจากโรงแรมและขึ้นรถไฟกลับ Hakata

เดินทาง Nagasaki – Hakata

มีรถไฟขบวน Kamome* วิ่งตรงจาก Nagasaki ไปยัง Hakata ใช้เวลาประมาณ 120 นาที แต่ด้วยความอยากนั่งรถไฟ Aso Boy เราจึงยอมต่อขบวน เดินทางแบบนี้แทน

  • 15:20 – 16:35 LTD. EXP KAMOME 30 : Nagasaki – Saga
  • 17:04 – 17:48 Aso Boy 81 : Saga – Hakata

ปกติแล้วรถไฟ Aso Boy จะวิ่งในเส้นทาง Kumamoto – Aso – Miyaji แต่เส้นทางนี้รางรถไฟเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว Aso Boy เลยมาวิ่งในเส้นทาง Hakata Station – Huis Ten Bosch Station แทน

รถไฟ Aso Boy เป็นรถไฟขบวนพิเศษ สำหรับการท่องเที่ยวในคิวชู เป็นรถไฟที่คนอยากนั่งมาก พอๆ กับ Yufuin no mori เลย ขบวนนี้ขึ้นชื่อว่าจองยากเหมือนกัน แต่เราจองล่วงหน้าหลายวัน และจองในเส้นทางสั้นๆ ขากลับ เลยจองได้

Kamome* มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่านกนางนวลขาว เนื่องจาก Kamome (かもめ) ภาษาญี่ปุ่นแปลว่านกนางนวล

LTD. EXP KAMOME 30

เบาะหนังสีน้ำตาล นั่งสบาย

16:35 น. ถึงสถานี Saga นั่งดูรถไฟเพลินๆ ขบวนในรูปด้านล่างเป็น Limited Express Huis Ten Bosch

17:04 น. พระเอกของเราก็มาถึง Aso Boy เป็นรถไฟขบวนสีขาว – ดำ มองที่หัวขบวนให้ดีนะครับ ขบวนนี้คนขับรถไฟจะอยู่ด้านบน เพื่อให้ผู้โดยสารได้เห็นวิวด้านหน้าแบบเต็มๆ ใครได้นั่งแถวหน้าสุดถือว่าโชคดีมาก

เบาะที่นั่งจัดวางฝั่งละ 2 ที่นั่งเป็นเบาะผ้ากำมะหยี่โทนสีแดง

เบาะใหญ่ นั่งสบาย

ที่นั่งพิเศษของขบวนนี้จะเป็น White Koro seat เบาะสีขาว สำหรับเด็ก และผู้ใหญ่นั่งด้วยกัน โดยที่นั่งเด็กจะอยู่ริมหน้าต่าง

บนรถไฟมีร้านเครื่องดื่ม KURO CAFE

บ่อบอล ของเล่นเด็กบนรถไฟ

เป็นขบวนรถไฟที่เหมาะสำหรับครอบครัว ตกแต่งน่ารัก เบาะนั่งสบาย

17:48 น. ก็มาถึงสถานี Hakata ในรูปจะดูเหมือนกลางคืน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พระอาทิตย์จะตกดินประมาณ 5 โมงเย็น หน้าหนาวก็จะมืดเร็ว

เดินออกจากสถานี เห็นไฟประดับที่ด้านหน้าสถานีสวยงามมาก เป็นการประดับไฟในเทศกาลคริสต์มาสโดยจะเริ่มตั้งแต่ 10 พฤศจิกายน 59 ไปจนถึง 11 มกราคม 60 ในวันพรุ่งนี้เราจะพามาชมไฟหน้าสถานี Hakata ส่วนวันนี้ไม่ไหวแล้ว ขอกลับโรงแรมพักผ่อนก่อน

ในตอนต่อไปเราจะเที่ยวในเมือง Fukuoka – Hakata ชิมราเมงชื่อดัง Ippudo เที่ยวรอบๆ Fukuoka Tower และ ช๊อปปิ้ง Marinoa Outlet ติดตามชมตอนต่อไปกันนะครับ

อ่านตอนต่อไป –> เที่ยว Fukuoka – Dazaifu เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของคิวชู

รีวิวทั้งหมด

Post Views 17084

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *