เที่ยวเกนติ้ง มาเลเซีย 3 วัน 2 คืน แบบไม่ง้อทัวร์

ผู้สนับสนุน

ประเทศมาเลเซีย เป็น 1 ในประเทศที่ผมเดินทางไปเที่ยวบ่อยมาก ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาก็ไปมาเลเซียมาทุกปี จนคนรอบตัวชอบถามว่ามาเลเซียมีที่อะไรให้เที่ยว จริงๆ แล้วทุกประเทศก็มีสถานที่ท่องเที่ยว มีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน อย่างประเทศมาเลเซียก็มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ถ้าอยากไปดูความเจริญของมาเลเซียก็ไปกัวลาลัมเปอร์ ถ้าอยู่ดูบ้านเมืองเก่าก็ไปมะละกา ถ้าอยากไปสูดอากาศหนาว เล่นสวนสนุกก็ไป เกนติ้ง ไฮแลนด์

การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการของสายการบิน Air Asia จองในช่วงโปรโมชั่น Big Sale เดือนกุมภาพันธ์ 2012 ราคาตั๋วไป – กลับ ดอนเมือง – กัวลาลัมเปอร์ รวมภาษีสนามบินแต่ไม่รวมโหลดกระเป๋า ไม่รวมเลือกที่นั่ง อยู่ที่คนละ 1,606 บาท ไหนๆ ก็ได้ตั๋วถูกแล้วก็เลยซื้อบริการเสริมเพิ่มเติม เลือกที่นั่ง โหลดกระเป๋า อาหารบนเครื่อง ราคาสุดท้ายเลยจบที่ 2,288 บาท / คน ทริปนี้เรามีเวลา 3 วัน 2 คืน นอนที่เกนติ้ง 2 คืน เน้น เที่ยวเกนติ้ง อย่างเดียวเลย

โดยผมวางโปรแกรมไว้คร่าวๆ ดังนี้

วันที่ 1 : ลงจากเครื่องแล้วนั่งรถยาวไปเกนติ้ง เช็คอิน First world Hotel เดินเล่น Indoor Theme Park

วันที่ 2 : นั่งกระเช้าเล่น แล้ววนกลับมาบนเกนติ้งเหมือนเดิม สายๆ ไปเที่ยววัด Chin swee caves เที่ยงย้ายโรงแรมไปนอน Theme Park Hotel บ่ายเดินเล่นรอบๆ Outdoor Theme Park

วันที่ 3 : นั่งรถลงไปกัวลาลัมเปอร์ ชอปปิ้ง Central market, Chinatown ต่อรถที่ KL Sentral ขึ้นเครื่องกลับที่ LCCT

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่บิน Air Asia ที่ดอนเมือง ถึงบ้านผมจะอยู่ใกล้ดอนเมืองมากกว่าสุวรรณภูมิ แต่ผมก็คิดว่าสนามบินสุวรรณภูมิสะดวกกว่า นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ต่อ Airport Link ได้โดยไม่ต้องใช้บริการ Taxi

วันที่ 1 : Bangkok? – LCCT – Genting

เมื่อไปถึงสนามบินแล้วไปดูเที่ยวบินในจอก่อน เผื่อมี Delay หรือ Cancel จะได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

เที่ยวบินขาไปของเราเป็นเที่ยวบิน AK 1941 ออกเดินทางเวลา 9.25 น. ในการเดินทางไปต่างประเทศควรไปถึงก่อนเวลาเครื่องออก 2 ชั่วโมงนะครับ เผื่อเวลาโหลดกระเป๋า ต่อคิว ตม.

ใครที่ทำ Web check in มาแล้วจะมีช่อง Bag drop ให้เฉพาะ ไม่ต้องต่อแถวยาวในช่องปกติ โหลดกระเป๋าเสร็จพนักงานจะให้ใบ ตม. ไทย มาด้วยอย่าลืมกรอกให้เรียบร้อยก่อนเข้า ตม. นะครับ

ทานข้าวเช้าที่สนามบินดอนเมือง

เรามาถึงสนามบินแต่เช้าก็ต้องหาข้าวกินในสนามบิน ที่ขายอาหารในสนามบินดอนเมืองจะอยู่ที่ชั้น 4 (ชั้นที่ Check in สายการบินอยู่ชั้น 3) เดินขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ร้านโครงการหลวง

บริเวณนี้จะมีร้านใหญ่อยู่ 2 ร้าน ร้านแรกชื่อร้านหมี่ฝ้าน ขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงหมูกรอบ และมีอาหารเช้าขายเป็นชุด ชุดละ 195 – 259 บาท ราคาค่อนข้างแพงครับ

อีกร้านชื่อร้าน Silom Village ร้านนี้คนจะน้อยกว่าร้านแรก ผมเลือกทานร้านนี้ครับ เพราะคิดว่าน่าจะทำได้เร็วกว่า ส่วนราคาอาหารแพงไม่แพ้กัน

โจ๊กชามนี้ 100 บาท มีหมูอยู่ 3 – 4 ชิ้น น้อยมาก ใส่ไข่ และโรยหน้าเล็กน้อย รสชาติไม่อร่อยครับ จืด เหมือนต้มข้าวเปล่าๆ ใส่หมู โรยผัก ไม่สมราคาเลย

กินกัน 2 คน โจ๊ก 2 ชาม น้ำเปล่า หมดไป 271 บาท มีค่า Service Charge 10% ด้วยครับ ไว้โอกาสหน้ายอมเดินไกลไปกินข้าวที่ศูนย์อาหารราคาประหยัด Magic Foodpoint ดีกว่า

จัดการเรื่องกินเสร็จก็ผ่าน ตม. ไทย ที่ชั้น 3 ทางเข้าตามรูปด้านบนเลยครับ ด่าน ตม. มีอยู่ 4-5 ช่อง คิว 1-2 คน รอไม่นาน ตม. ที่สนามบินดอนเมืองบริการดีครับ ยิ้มแย้ม มีสวัสดีเราด้วย ตอนนี้ที่สนามบินดอนเมืองมี Auto Gate แล้วนะครับ แต่เหมือนว่าคนไม่ค่อยใช้บริการซักเท่าไหร่

จาก ตม. ก็เข้าไปยังด่าน Security สแกนกระเป๋า ตรวจอาวุธ ของเหลว เข้ามาด้านในจะเจอกันร้าน Duty Free ของ Kingpower

ศาลาสวยๆ เป็นของร้านจิตรดาขายสินค้างานฝีมือ

ที่แลกเงินในสนามบินดอนเมืองจะอยู่ข้างๆ ศาลาจิตรดา คนต่อแถวกันแลกเพราะมีที่แลกเงินเพียงไม่กี่ที่ ถ้าใครจะบินที่สนามบินดอนเมืองผมแนะนำให้แลกตั้งแต่ก่อนเดินทางจะดีกว่าครับ

King power Dutyfree จะมีทั้งฝั่งผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ และผู้โดยสารขาเข้าประเทศ สินค้าที่ฝั่งขาออกมีให้เลือกเยอะกว่า และราคาถูกกว่าฝั่งขาเข้าประเทศ ซื้อของเสร็จแล้วสามารถฝากของไว้ก่อน แล้วค่อยมารับตอนกลับก็ได้ ถ้าซื้อเยอะแล้วหิ้วติดตัวเดินทางไปด้วย อาจโดนภาษานำเข้าของประเทศที่เราจะไปด้วย

ร้าน Starbucks Coffee เมื่อเดือนก่อนยังตั้งเป็นเค้าท์เตอร์เล็กๆ ไม่มีที่นั่ง วันนี้ร้านทำเสร็จแล้วครับ

ข้างๆ ห้องน้ำสวย COTTO มีของเล่นให้เล่นด้วยครับ เป็นจอภาพขนาดใหญ่ ฉายวิวสวยๆ สลับกันไปเช่น หอนาฬิกาในประเทศอังกฤษ ภูเขาไฟฟูจิประเทศญี่ปุ่น เมื่อเราไปยืนใกล้ๆ จอภาพ เราจะถูกตัดต่อเข้าไปในจอด้วย

เงินมาเลเซีย

ใช้เงินสกุลริงกิตมีตัวย่อว่า RM หรือ MYR อัตราแลกเปลี่ยนแบบคร่าวๆ จำง่ายๆ อยู่ที่ 10 บาท : 1 ริงกิต ที่แลกเงินบาทเป็นเงินริงกิต ผมแนะนำที่ร้าน Superrich จะสีเขียวหรือสีส้มก็ได้ แต่ไม่ควรแลกที่ธนาคารหรือสนามบิน เงินริงกิตจะได้เรทที่ขาดทุนมากๆ ทริปนี้ผมแลกไป 1,500 ริงกิต สำหรับ 2 คน 3 วัน 2 คืน จบทริปแล้วมีเงินเหลือเยอะเลยครับ

ระบบไฟฟ้า ปลั๊กไฟในประเทศมาเลเซีย

ประเทศมาเลเซียใช้ไฟ 220-240 VAC 50Hz เหมือนบ้านเราแต่รูปลั๊กจะเป็นรู 3 ขาสี่เหลี่ยม เหมือนกับสิงคโปร์ ฮ่องกง และ อังกฤษ ผมเข้าใจว่ามาเลเซียเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเลยได้รับระบบไฟฟ้ามาจากอังกฤษด้วย ถ้าต้องการนำอุปกรณ์ไฟฟ้าไปใช้ที่มาเลเซียควรซื้อตัวแปลงปลั๊ก ตามรูปขวา – บนไปใช้ด้วยครับอันละประมาณ 30-60 บาท

เที่ยวมาเลเซีย ต้องใช้ VISA ไหม

คนไทยสามารถเข้าประเทศมาเลเซีย และอยู่ในมาเลเซียได้มากสุด 30 วัน โดยไม่ต้องใช้ VISA แต่ต้องใช้ Passport ที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน นับจนถึงวันสุดท้ายที่อยู่ในมาเลเซีย

เกทขึ้นเครื่องของเราอยู่เกทที่ 22 มีงวงช้างเข้าเครื่องได้เลย ไม่ใช่ Bus gate

ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา เพิ่งจะชนะการเลือกตั้ง และบินมาเยือนประเทศไทย เครื่องบินลำสีขาวในรูปด้านบนเป็นเครื่องบินของสหรัฐอเมริกาเห็นจอดอยู่ 2 – 3 ลำ ผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้ติดตามของโอบามา

เครื่องบิน Air Asia มาจอดรอที่เกทแล้วครับ กำลังโหลดกระเป๋า เช็คความเรียบร้อย AK 1941 ให้บริการโดยลูกเรือชาวมาเลเซีย ถ้าอยากบินกับ Thai Air Asia ให้จองเที่ยวบินที่ขึ้นต้นด้วย FD นะครับ ผมเองชอบบินกับ FD มากกว่า อุ่นใจกว่า และการบริการก็ดีกว่า แต่ทริปนี้เวลาของ AK ดีกว่าเลยต้องจอง AK

AK 1941 เครื่องออกเวลา 9.25 น. และถึงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เวลา 12.40 น. ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที

ประมาณ 9 โมงนิดๆ ก็ได้ขึ้นเครื่องแล้วครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่อยู่บนเครื่อง เราเลยสั่งอาหารมาทานเป็นมื้อกลางวันบนเครื่องซะเลย สั่งล่วงหน้า Online และจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว สั่ง Online จะมีเมนูให้เลือกเยอะกว่าสั่งบนเครื่อง และยังมีน้ำดื่มให้ด้วย

ซ้าย : แซนวิชไก่ (Assorted Sandwich Combo) ราคา 90 บาท พร้อมน้ำแก้วเล็กๆ 1 แก้ว ขวา : ข้าวแกงเขียวหวานไก่ (Green Curry Rice Combo) ราคา 120 บาท พร้อมน้ำแก้วเล็กๆ 1 แก้ว เทียบราคากับข้าวที่สนามบินแล้ว ซื้อกินบนเครื่องก็ไม่ได้แพงเลย

เมื่อทริปที่แล้วผมนั่ง AK ไปมาเลเซีย จำได้ว่ามีแจกซิม Tune Talk บนเครื่องฟรี แต่ต้องไปเติมตังค์เอาเอง ก็กะว่าครั้งนี้จะรับซิมฟรี แต่ว่าครั้งนี้เค้าไม่แจกแล้วครับ สงสัยจะแจกเฉพาะช่วงแรกๆ ใครที่ต้องการซื้อซิม ใช้โทร ใช้เล่นเนต ให้ซื้อในสนามบิน LCCT เลยครับ

ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่เราไป เป็นหน้าฝนของมาเลเซีย โชคดีว่าเราไม่เจอฝนตก ไม่เจออากาศแปรปรวนระหว่างบินเลย มองออกไปนอกหน้าต่างมองเห็นวิวเกาะปีนัง มาเลเซีย ตอนนี้เกาะปีนังกำลังสร้างสะพานเชื่อมเกาะกับแผ่นดินใหญ่แห่งที่สอง ไว้รองรับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ไว้มีโอกาสจะลองแวะไปเที่ยวที่ปีนังบ้าง

เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน LCCT (Low cost carrier terminal) ประมาณ 12.40 น. ตรงกับเวลาที่แจ้งไว้ใน Itinerary สนามบิน LCCT เป็นสนามบินของ Air Asia ส่วนสายการบินอื่นจะใช้สนามบิน KLIA ในอนาคตสนามบิน LCCT จะถูกยุบไปใช้ที่ KLIA แทน ตอนนี้ KLIA กำลังสร้างส่วนขยายเพื่อรองรับ LCCT ที่ถูกย้าย ทั้งสองสนามบินนี้อยู่ติดกัน แต่การจะเดินทางไปมาระหว่าง 2 สนามบินต้องใช้เวลาถึง 30 นาที

ทันทีที่ถึงประเทศมาเลเซียอย่าลืมปรับเวลาใหม่เป็นเวลาท้องถิ่นของมาเลเซีย GMT +8 หรือปรับเวลาให้เร็วกว่าเวลาในไทย 1 ชั่วโมง

สนามบิน LCCT เป็นสนามบินแบบประหยัด ไม่เน้นสวยงาม ไม่เน้นสิ่งอำนวยความสะดวก ลงจากเครื่องแล้วเราต้องเดินเข้าอาคารผู้โดยสารเอง

เข้าอาคารผู้โดยสารได้แล้ว ก็รีบเดินไปด่าน ตม. (Immigration) ด่าน ตม. คิวไม่เยอะมาก จากประสบการที่ผมมามาเลเซียมา 3 รอบ ตม. ที่นี่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยถามครับ ได้ Passport ไปก็ key ข้อมูลแล้วประทับตราลงวันที่ใน Passport ไม่มีอะไรน่ากลัวครับ

ตอนนี้มาเลเซียยกเลิกการกรอกใบ ตม. (Embarkation Card) เข้า – ออกประเทศ มาได้ 1 ปีแล้ว นักท่องเที่ยวใช้เพียง Passport ในการผ่านด่าน ตม. สำหรับคนที่เพิ่งจะมามาเลเซียเป็นเครั้งแรกอาจจะต้องมีการสแกนนิ้วด้วย การสแกนจะใช้นิ้วชี้ของทั้ง 2 ข้างประทับลงที่เครื่องหน้าเจ้าหน้าที่ ตม.

ออกจากด่าน ตม. ลงบันไดเลื่อนมา เจอกับร้านขายซิม 3 เจ้า มี Tune Talk, Digi, Hotlink รู้สึกว่าของ Digi จะได้รับความนิยมสุด มีคนซื้อเยอะที่สุด เค้าว่าใช้เล่นเนตดีสุดแล้ว ส่วน Tune Talk มีดีที่ค่าโทรถูก โทรกลับไทย 1.4 บาท / นาที เท่านั้น

เรามารอรับกระเป๋า รอแป๊ปเดียวกระเป๋าก็ไหลมาตามสายพานแล้ว แต่รู้สึกว่าสายพานที่ LCCT จะเหวี่ยงแรงไปหน่อยกระเป๋ากลิ้งตกพื้นตรงช่วงโค้งหลายใบเลย

ได้กระเป๋าเสร็จลากกระเป๋ามาที่ช่องทางออก ทางซ้ายมือของทางออกจะมีที่ขายตั๋วไป KL Sentral, Genting เราจะนั่งรถจาก LCCT ยาวไปเกนติ้งเลยครับ ที่ขายตั๋วไป Genting จะอยู่ช่องขวาสุด ป้ายสีแดง เขียนด้านบนว่า Go Genting ให้บริการโดย Aero Bus ถ้าเจอป้ายที่เขียวว่า GENTING ตัวโตๆ อันนั้นจะเป็น Taxi ครับ ค่าโดยสารแพง ไม่แนะนำ

การเดินทางจาก LCCT ไป Genting นอกจากนั่งรถ Aero Bus จาก LCCT ไป Genting โดยตรงแล้วอีกทางหนึ่งที่คนนิยมกันคือนั่งรถจาก LCCT ไป KL Sentral แล้วต่อรถจาก KL Sentral ไปสถานี Genting Skyway แล้วนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนเกนติ้ง แต่ผมคิดว่าถ้ากระเป๋าใหญ่ ของเยอะนั่งรถยาวไป Genting เลยจะสะดวกกว่า

รถออกเวลา 13.30 น. ค่าตั๋วคนละ 35 RM รถจอดที่ Platform 6

ทางเดินไปขึ้นรถ ออกจากอาคารผู้โดยสารให้เดินไปทางซ้าย ผ่าน McDonald’s และ Terminal ในประเทศของ LCCT ยาวไปเรื่อยๆ จะเจอรถบัสจอดอยู่ มองหา Platform 6

รถ Aero Bus ที่ไป Genting ติดสติกเกอร์ว่า LCCT <–> KL SENTRAL สร้างความสับสนให้กับคนที่ขึ้น จนต้องถามพนักงานอีกทีว่าไป Genting หรือเปล่า

กระเป๋าใบใหญ่ สัมภาระวางไว้ที่เก็บของด้านล่าง แล้วเดินขึ้นรถได้เลย จะนั่งตรงไหนก็ได้ตั๋วไม่ระบุที่นั่ง

ภายในรถกว้าง นั่งสบาย เบาะปรับเอนได้ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถ ป.2 บ้านเรา รถเที่ยวนี้คนไม่เต็มรถเหลือว่างประมาณ 6 ที่นั่ง

รถวิ่งจาก LCCT ผ่านกัวลาลัมเปอร์ เห็นตึกแฝด หอคอย KL แบบเฉียดๆ แล้วรถก็วิ่งขึ้นทางทิศเหนือยาวไปเกนติ้ง

ใช้เวลาเดินทางจาก LCCT มา Genting ประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ขับยาวแบบไม่จอดแวะที่ไหน รถจะจอดที่ First world Bus Terminal ท่ารถข้างโรงแรม First world Hotel

ลงจากรถปุ๊บ เจอกับควันขาวๆ ลอยมาเต็มท่ารถเลย ไม่ใช่ควันจากหมอกนะครับ แต่เป็นควันจากบุหรี่ คนที่มารอรถก็สูบ คนที่เพิ่งลงจากรถก็สูบ ที่มาเลเซียคนสูบบุหรี่เยอะมากครับ

อากาศบนเกนติ้งเย็นสบายเหมือนอยู่ในห้องแอร์ อุณหภูมิประมาณ 19-25 องศา การแต่งชุดมาเกนติ้งถ้าเป็นคนที่ขี้หนาวหน่อยก็สวม Jacket ทับเสื้อยืด แต่โดยทั่วไปผมว่าใส่ชุดธรรมดา เสื้อยืด หรือ เสื้อเชิ้ต ตัวเดียวก็พอ

ถึงแล้ว First world Hotel โรงแรมที่เคยเคยถูกบันทึกในกินเนสบุ๊ค ไว้ว่ามีห้องพักมากที่สุดในโลก มีมากถึง 6,118 ห้อง ต่อมาถูกโรงแรม The Palazzo ที่ Las Vegas ทำลายสถิติไปในปี ค.ศ. 2008

First world Hotel จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ตึก เวลาเช็คอินเสร็จแล้วต้องดูดีๆ ว่าได้ห้องที่ตึกไหน

เดินตามทางที่มีหลังคาสีๆ ตามรูปด้านบนจะเป็นทางไปยัง Lobby ของโรงแรม First world

การจองโรงแรม First world สามารถจองกับเวบ www.rwgenting.com โดยตรง หรือเอเจนซี่รับจองโรงแรมเช่น agoda ก็ได้ ราคาไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าจองกับ agoda ก็มีแต้มให้สะสมเป็นส่วนลดในการจองครั้งต่อไป

ถึงแม้ว่า ?First world Hotel จะมีห้องพักอยู่หลายพันห้อง แต่ก็เต็มตลอด เกนติ้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนมาเลเซีย สิงคโปร์ และชาวต่างชาติมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีอากาศหนาว เย็นสบาย มีทั้งสวนสนุกและคาสิโน ใช้เวลาเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์เพียง 1 ชั่วโมงเศษ

ผมจอง First world Hotel ล่วงหน้าถึง 3 เดือน ตอนแรกว่าจะจองทั้ง 2 คืน แต่ว่างเพียงคืนเดียว (นี่ขนาดจองล่วงหน้าตั้งนานนะ) อีกคืนจึงต้องย้ายโรงแรมไปนอน Theme Park Hotel ก็ถือว่าเป็นข้อดีจะได้รู้ว่าที่ไหนดีกว่ากัน

ห้อง Deluxe ของ First world Hotel ราคา 158 RM ไม่รวมอาหารเช้า จองเสร็จจะได้ Booking Confirmation ส่งเข้า email เรา เราก็ print Booking Confirmation ติดตัวไว้ใช้ในการเช็คอิน

โรงแรมทุกโรงแรมบนเกนติ้งเชคเอ้าต์ 12.00 น. เช็คอิน 15.00 น. ก่อนจะเช็คอินดูเวลาก่อนนะครับ บางทียังไม่ถึงเวลาเค้ายังทำห้องไม่เสร็จ ก็จะยังไม่ให้เช็คอิน

Check in First world Hotel

เข้ามาถึงใน Lobby แล้วให้มาต่อคิวที่อยู่ตรงกลาง Lobby ครับ พนักงานจะขอหมายเลข Booking เราแล้วส่งต่อเราไปยัง Counter ในช่องต่างๆ พอถึงคิวผมพนักงานเอาข้อมูลไป Key แล้วก็บอกให้เราไป Check in กับตู้ Kiosk สีเขียว

การ Check in กับตู้ Kiosk เป็นอะไรที่ง่ายมากๆ สะดวก รวดเร็ว มีพนักงานคอยช่วยดูให้ด้วยในกรณีที่ติดปัญหา

ขั้นตอนการ Check in กับตู้ Kiosk มีดังนี้ครับ

1. เลือกภาษาอังกฤษ ด้วยการกดปุ่มสีน้ำเงิน

2. เปิด Passport หน้าแรกที่มีรูปถ่าย และข้อมูลส่วนตัวแนบลงไปในช่องตามรูปด้านบน

3. รอสักพัก ชื่อและข้อมูลการจองของเรา จะขึ้นมาที่จอให้เช็คความถูกต้อง ถ้าถูกต้องให้กดลูกศร Check In สีเขียว

4. เครื่องจะถามอีกว่าต้องการ Key Card กี่ใบ 1 หรือ 2 ใบ ให้กดเลือกเอา

5. ใบ Check in และ Key Card จะออกมาจากเครื่อง ให้ดูที่ใบ Check in ว่าได้ห้องตึกอะไร ห้องหมายเลขที่เท่าไหร่ แนะนำว่าให้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย เผื่อใบหายจะเข้าห้องไม่ถูก เพราะห้องมีเยอะมากดูคล้ายๆ กันหมด

สรุปแล้วผมเช็คอินที่ First world Hotel เสร็จภายในเวลา 15 นาที ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีตู้ Kiosk ช่วยเช็คอิน ใช้เวลา 30-60 นาที บางคนถึงกับไม่อยากพักที่ First world Hotel เพราะเบื่อตอนเช็คอินก็มีครับ

ผมได้ห้องพักที่ตึก 2 ชั้น 28 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุด แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นวิวสวยๆ จากหน้าต่างนะครับ ห้อง Standard และ Deluxe จะไม่เห็นวิว หน้าต่างห้องจะเป็นช่องว่างระหว่างตึก

ลิฟต์ของโรงแรม First word จะแบ่งเป็น High Floor (15-28) กับ Low Floor (1-14) ต้องเลือกลิฟท์ขึ้นให้ถูก จำนวนลิฟท์มีอยู่ประมาณ 10 กว่าตัว รอไม่นานมาก แต่ช่วงเวลาประมาณเที่ยง เป็นเวลา Check out คนใช้ลิฟท์เยอะมากจะเสียเวลารอลิฟท์นาน แถมยังแวะจอดเกือบทุกชั้น

โรงแรม First word มีคนเข้าพักเป็นจำนวนมาก หมื่นๆ คนต่อวัน เค้าไม่เช็คนะครับว่าห้องนึงจะพักกี่คน ครอบครัวที่มีเด็กเล็กมาด้วย ก็นอนรวมกันได้ในห้องเดียว หรือจะอัด 3 ใน 1 ห้องก็ไม่มีใครว่า

ห้องพักจะใช้ Key card ในการเข้าห้อง วิธีการเข้าห้องให้สอด Key card เข้าไปในช่อง หันโลโก้ Resort World ขึ้นด้านบนตามรูปด้านล่าง แล้วดึงการ์ดออก ถ้ามีไฟเขียวติดแสดงว่าปลดล๊อคแล้ว เปิดประตูเข้าห้องได้เลย

ภายในห้องมีเตียงเล็กให้ 2 เตียงวางแบบชิดติดกัน กว้าง นอนได้สบายมาก ริมหน้าต่างมี TV จอเล็กขนาด 14 นิ้ว เป็นขนาดที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน มีรายการให้ชมหลายช่องเป็นภาษาอังกฤษ และภาษามาเลเซีย

พื้นปูพรม เวลาเดินแล้วจะได้ไม่รู้สึกเย็นเท้า ในห้องดูสะอาดดีครับ เหมือนห้องนี้เพิ่งจะ renovate มาไม่นาน ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวดูใหม่ ขาวมาก

หน้าต่างจะไม่สามารถเปิดออกไปกว้างได้ ทำได้แค่แง้ม พอให้อากาศได้เข้ามา

สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็มี ตู้เย็นเล็ก ตู้เซฟ ไดร์เป่าผม กาต้มน้ำ พร้อมกาแฟซอง 2 ชุด ที่นี่ไม่มีน้ำดื่มแบบขวดให้นะครับ แต่มีตู้กดน้ำร้อน น้ำเย็นอยู่ทุกชั้น พัดลมแบบติดที่เพดานเปิดพัดลมก็เย็นเหมือนเปิดแอร์เลยครับ โรงแรมทุกโรงแรมบนเกนติ้งจะไม่มีแอร์ เนื่องจากอากาศหนาวเย็นตลอดปี

ข้อเสียของโรงแรม First world คือไม่มี wifi ให้เล่นอินเตอร์เนต ถ้าจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เนตบนเกนติ้งควรซื้อซิมการ์ด Digi มาใช้จะดีกว่าครับ

ในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัว 2 ผืน หมวกอาบน้ำ สบู่เหลวแบบกด มีฝักบัวชำระให้ ข้างชักโครก น้ำอุ่นใช้งานได้ดี ความสะอาดถือว่าสะอาดมากๆ เลย ผมอาจจะโชคดีได้ห้องที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ด้วย

เดี๋ยวเราจะเก็บกระเป๋าในห้อง แล้วออกไปเดินเล่นใน Indoor Theme Park กันนะครับ

ระหว่างทางไปลิฟท์เจอตู้กดน้ำร้อน น้ำเย็น ชั้นนึงมีประมาณ 3-4 จุด

มองจากหน้าต่างข้างลิฟต์ลงไปจะเจอวิวแบบนี้

จากโรงแรม First world ไป Indoor Theme Park (สวนสนุกในอาคาร) & First world Plaza ให้เดินไปทาง Lobby ของโรงแรม First world แล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 2 เดินข้ามไปฝั่ง Indoor Theme Park

ข้อดีของการพักที่โรงแรม First world คือสามารถเดินเล่นได้ทั้งวันทั้งคืน เด็กเล็กก็มีสวนสนุกให้เล่น ผู้ใหญ่ก็มีพลาซ่าให้ชอปปิ้ง เดินดูของ หรืออยากจะเสี่ยงดวงในคาสิโนก็ได้ ของกินก็มีให้เลือกกินเยอะหลายร้าน

ร้านอาหารในอาคาร First world และ Indoor Theme Park

ก่อนที่จะพาชม Indoor Theme Park ผมจะพาไปดูร้านอาหารในอาคาร First world และ Indoor Theme Park ว่ามีร้านอะไรน่าทานบ้าง และราคาเท่าไหร่

ร้านอาหารประเภท Fast food มี Marrybrown เป็นร้านขายไก่ทอดสัญชาติมาเลเซีย คล้ายๆ กับ KFC มีขายอยู่เกือบ 20 ประเทศ แต่ยังไม่มีสาขาในประเทศไทย รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ มีข้าว Nasi lemak ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของมาเลเซียขายด้วย ราคาอาหารจานเดียวประมาณ 5-15 ริงกิต นอกจากนั้นก็มีร้าน McDonald’s, Pizza Hut

ร้านอาหารประเภท Buffet มีร้าน Hot Pot (คนละ Hotpot กับบ้านเรา) คนไทยชอบไปกิน คล้ายๆ กับหมูกะทะ + BBQ มีอาหารและเครื่องดื่ม กินได้ทุกอย่าง ราคาคนละ 39.9 ริงกิต เด็ก 19.9 ริงกิต ยังไม่รวมภาษี 6% และ Service Charge อีก 10% ถ้ารวมแล้วก็จะตกหัวละ 46 ริงกิตกว่า

หรือถ้าไม่อยากกิน Buffet ร้าน Hot Pot มีอาหารจานเดียวจานละ 9-15 ริงกิต

ร้านอาหารประเภท Cafe มีร้าน Hainan ขายอาหารสไตล์ท้องถิ่นมาเลเซีย ติ่มซำ ก๋วยเตี๋ยว ขนมเค้ก ขนมปังทาแยม / สังขยา (Kaya Toast) ตามแบบฉบับของมาเลเซีย สิงคโปร์

คนมากินเยอะมากถึงกับต้องเข้าคิวเลย

Nyonya Colors ขายอาหารเช้าเป็นชุด โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว ข้าว เมนูอาหารคล้ายกับร้าน Hainan ราคาประมาณ 7-14 ริงกิต

Food court ขายข้าวแกง ข้ามมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว แต่ราคาแพงใช้ได้เลยครับ อาหารจานเดียว 10-15 ริงกิต

เอาละครับจบเรื่องกินไปมาเดินเล่นใน Indoor Theme Park หรือ สวนสนุกในร่มกันดีกว่า

Indoor Theme Park จะมีเครื่องเล่นอยู่ 11 อย่าง ดังนี้ครับ

– 4D Motion Master
– Adult Bumper Car
– Carousel
– Euro Express
– Junior Bumper Car
– Mini Train
– Monorail
– Reindeer Cruiser
– Ride De Paris
– Rio Float
– Flying Dragon

เราสามารถซื้อตั๋วแบบที่เล่นได้ทั้ง Indoor – Outdoor หรือจะซื้อตั๋ว Indoor อย่างเดียวก็ได้

– ตั๋วแบบเล่นได้ทั้ง Indoor – Outdoor 1 วัน ผู้ใหญ่ 66 RM, เด็ก 45 RM

– ตั๋วแบบเล่น Indoor อย่างเดียว 1 วัน ผู้ใหญ่ 30 RM, เด็ก 28 RM

– ตั๋วแบบเล่น Outdoor อย่างเดียว 1 วัน ผู้ใหญ่ 50 RM, เด็ก 35 RM

หลังจากที่ซื้อตั๋วแล้วจะได้ Wristband ติดไว้ที่ข้อมือ จะเข้า – ออก เล่นก็ครั้งก็ได้ ในบริเวณ Indoor Theme Park คนที่ไม่ซื้อตั๋วก็สามารถเข้ามาเดินเล่น ถ่ายรูปได้นะครับ แต่ถ้าเป็น Outdoor Theme Park ต้องซื้อตั๋วเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้

Ride De Paris เป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก ให้เด็กนั่งในรถแล้วรถจะหมุนรอบหอคอย Eiffel คล้ายๆ ม้าหมุน

Carousel หรือม้าหมุน

Rio Float เป็นรถกระเช้าวิ่งอยู่บนรางสูง มองเห็นวิวใน Indoor Theme Park อาจจะไม่เหมาะกับคนที่กลัวความสูง

Mini Train รถไฟแบบเด็กๆ แล่นช้า

Euro Express รถไฟสีแดง วิ่งเร็ว เสียวที่สุดในบรรดาเครื่องเล่นใน Indoor Theme Park

Flying Dragon เป็นรถไฟวิ่งอยู่นบนราง วิ่งจากสถานีใน Indoor Theme Park ออกมาด้านนอกแล้ววนกลับเข้าไปใน Indoor Theme Park รถไฟวิ่งเร็วพอประมาณแต่ไม่เสียวครับ

Casino ใน Genting

ในบริเวณ Indoor Theme Park นอกจากจะมีสวนสนุกสำหรับเด็ก ยังมีคาสิโนสำหรับผู้ใหญ่ ถ้าต้องการจะเข้าไปด้านในต้องไม่มีสัมภาระเข้าไปด้วย เช่นกระเป๋าใบใหญ่ ถือเข้าไปไม่ได้นะครับ แต่กระเป๋าถือผู้หญิงเอาเข้าไปได้ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซื้อเสื้อผ้าใส่ถุงมา พนักงานด้านหน้าบอกห้ามเข้าเพราะมีถุงใบนี้ ผมเองก็งงเหมือนกัน

ส่วนเรื่องการแต่งการไม่ซีเรียสมากกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะก็เข้าไปได้ ไม่ตรวจ Passport ภายในคาสิโนมีตู้สล๊อต โต๊ะไพ่ อยู่หลายโต๊ะ แต่ยังไม่อลังการเท่าที่มาเก๊า ด้านในจะห้ามถ่ายรูปนะครับ เป็นกฎที่รู้กันสำหรับคาสิโนทุกที่ ในคาสิโนจะเหม็นควันบุหรี่นิดนึง นักพนันสูบบุหรี่แก้เครียดกันครับ ผมเองก็เข้าไปดูแค่พอให้ได้เห็นว่าภายในเป็นอย่างไร อย่างที่เราก็ทราบกันดีการพนันไม่ทำให้ใครรวย นอกจากเจ้ามือ

ออกจากคาสิโนแล้วมาเดินเล่นกันต่อ ใน Indoor Theme Park จะจำลองสถานที่สำคัญทั่วโลกมาไว้ที่นี่ในรูปบนเป็น หอนาฬิกาบิ๊กเบน ประเทศอังกฤษ

ซ้าย : ตุ๊กตารางวัลออสการ์ ขวา : เทพีสันติภาพ

ตึกแฝดปิโตรนาส ตัวตึกยาวทะลุหลังคาเลย

รูปปั้นซุปเปอร์แมนบินทะลุออกจากกำแพง

บรรยากาศใน Indoor Theme Park

Ripley’s Believe It or Not! ทำบรรยากาศเหมือนบ้านผีสิง เวลาจะเข้าไปด้านในต้องขึ้นลิฟท์ตัวสีขาวเลื่อนขึ้นไปด้านบน

เทพีสันติภาพยุค 2012 ขี่มอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์

เวทีใน Indoor Theme Park มีโชว์ดีๆ มาแสดงตลอด ร้องเพลง talk show เต้น แสดงมายากล ที่สำคัญชมฟรีครับ

นักแสดงผิวสีคนนี้ร้องเพลงแร๊พ talk show เต้น B Boy สุดยอดเลยครับ

ด้านหลังเวทีตรงทางไปห้องน้ำมี Locker ฝากของด้วยนะครับ เหมาะสำหรับคนที่จะเล่นสวนสนุกแล้วกลัวของจะหล่น

ค่าเช่าตู้ Locker ใน Indoor Theme Park

– ตู้เล็ก 2 ชั่วโมง 5 ริงกิต, 4 ชั่วโมง 10 ริงกิต, 13 ชั่วโมง 20 ริงกิต, 24 ชั่วโมง 30 ริงกิต

– ตู้ใหญ่ 2 ชั่วโมง 10 ริงกิต, 4 ชั่วโมง 20 ริงกิต, 13 ชั่วโมง 40 ริงกิต, 24 ชั่วโมง 60 ริงกิต

การใช้ตู้จะต้องทำผ่านจอคอมพิวเตอร์ที่ตู้สีส้ม กดใส่รหัส แล้วจ่ายตังค์ เวลาจะเปิดตู้ก็ใส่รหัสที่จอคอมพิวเตอร์ที่ตู้สีส้มอีกครั้ง

เดินไปเดินมา มาเจอกับ SnowWorld หรือเมืองหิมะ คล้ายกับที่ Dream world บ้านเรา theme ของตอนนี้เป็น European winter here ทำฉากแบบบ้านเรือนในยุโรป มีต้นสนที่ถูกหิมะปกคลุมจนขาว

อุณหภูมิภายใน -6 องศา หนาวเข้าไปถึงในกระดูก มีห่วงยางให้ลื่นสไลด์ลงมา

ราคาตั๋ว ผู้ใหญ่ 25 ริงกิต, เด็ก 23 ริงกิต อยู่ได้นาน 40 นาที

สีของหลอดไฟจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

สวนน้ำ WaterPark

หนีหนาวมาเล่นน้ำอุ่นที่สวนน้ำ WaterPark สวนน้ำแห่งนี้เป็นน้ำอุ่นครับ อุ่นจนควันลอยขึ้นมาจากน้ำเลย เล่นนานๆ คงผิวแห้ง

ค่าตั๋วเข้าสวนน้ำ WaterPark ค่อนข้างแปลกครับ เด็กจ่ายแพงกว่าผู้ใหญ่

– ผู้ใหญ่ 5 ริงกิต, เด็ก 10 ริงกิต แต่ถ้าพักที่ First world Hotel จะได้รับส่วนลดเหลือ ผู้ใหญ่ 3 ริงกิต, เด็ก 7 ริงกิต และถ้าพักที่ Maxims Genting, Highlands Hotel, Resorts Hotel Guest เล่นฟรีครับ หรือถ้าซื้อบัตร All Park Ride Pass, First World Indoor Theme Park Ride Pass ก็ไม่ต้่องจ่ายค่าเข้าสวนน้ำอีกครับ

รูปด้านล่างเป็นภาพในมุมสูงจาก First world Hotel มองเห็นเสาโทรคมบนยอดเกนติ้ง

เราเดินเล่นใน Indoor Theme Park & First world Plaza จนเหนื่อยเลยครับ เลยต้องหาข้าวมื้อเย็นกินและกลับไปนอนเอาแรงในโรงแรม วันรุ่งขึ้นค่อยมาเดินต่อครับ

วันที่ 2 : วัด Chin swee caves – Outdoor Theme Park

คงเป็นเพราะเมื่อคืนก่อนต้องตื่นเช้ามาขึ้นเครื่อง บวกกับเหนื่อยกับการเดินทาง เจออากาศเย็นๆ บนเกนติ้ง ทำเอาหลับสบายไม่อยากตื่นเลยครับ เช้านี้เรากินข้าวเช้าที่ร้าน Lobby Cafe อยู่ข้างๆ Lobby First world Hotel ถ้าอยากจะทาน Buffet ก็มี First World Cafe ที่ชั้น 8 ของ First world Hotel หัวละ 29 ริงกิต จริงๆ แล้วเมื่อก่อนแขกที่พัก First world Hotel ทานได้ฟรี เดี๋ยวนี้ค่าห้องแพงขึ้น แถมตัด Buffet ออกอีก

ร้าน Lobby Cafe จะขายข้าวหลายอย่าง ทั้งข้าวตักราดสไตล์มาเลเซีย ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ แฮมเบอร์เกอร์ ราคาอาหารจานเดียวประมาณ 15 ริงกิต น้ำเปล่า (น้ำแร่) ขวดละ 6 ริงกิต แพงได้ใจจริงๆ แพงกว่าสิงคโปร์ซะอีก

ในรูปด้านบนข้าวผัดไข่ดาว 12.5 ริงกิต + กาแฟคาปูชิโน 5 ริงกิต ราคานี้ยังไม่รวม Tax + Service charge อีก 16%

ไปขึ้นกระเช้าที่โรงแรม Highlands

ทานข้าวเสร็จเราจะไปนั่งกระเช้าเล่นๆ ไปที่สถานี Genting Skyway แล้วก็กลับมาบนเกนติ้งเหมือนเดิม สถานีกระเช้าบนเกนติ้งจะอยู่ในโรงแรม Highlands ถ้าเดินจากโรงแรม First World ก็จะประมาณ 15 นาที แต่ถ้าขี้เกียจเดินก็มีรถ Shuttle bus บริการฟรี

รถ Shuttle bus ที่วิ่งระหว่าง First world Hotel <–> Highlands Hotel จะจอดอยู่หน้าร้านกาแฟ Starbuck ของโรงแรม First world

ตารางการเดินรถจะเป็นดังนี้ครับ

8.00 – 23.00 น รถออกทุก 15 นาที

23.00 – 5.00 น. รถออกทุก 30 นาที

รถใช้เวลาวิ่งระหว่าง 2 โรงแรมประมาณ 7 นาที

รถจอดหน้าโรงแรม Highlands

ภายใน Lobby ของโรงแรมตกแต่งสวย ออกแนวยุโรป

อุณหภูมิเช้านี้ครับ 19.4 องศา เย็นสบายกำลังดี ไม่หนาวมาก ส่วนความชื้นค่อนข้างเยอะ 82.2 %RH

เราเดินตามป้าย Genting Skyway จนมาเจอสถานีกระเช้า

เจอป้ายนี้แทบช๊อกเลยครับ “GENTING SKYWAY MAINTENANCE CLOSURE” 15-17.11.2012 กระเช้าปิดซ่อมบำรุง 3 วัน อดขึ้นเลยครับ

ก็เอาความผิดพลาดของผมเป็นประสบการณ์ให้กับทุกท่านนะครับ ให้ตรวจสอบวันซ่อมบำรุงกระเช้าได้จากปฏิทินซ่อมบำรุงในหน้านี้ครับ www.rwgenting.com/en/getting_there/skyway_monthly_maintenance.htm ใน 1 เดือนจะมีปิดซ่อมบำรุง 1-3 วัน อย่างเดือนธันวาคม 55 ก็มีปิด 1 วัน วันที่ 5 ธ.ค. 55 ไม่รู้ว่าจะมีใครโชคร้ายเท่าผมหรือเปล่า มาเกนติ้ง 2 ครั้งเจอกระเช้าปิด 2 ครั้งเลย

บรรยากาศการซ่อมบำรุงสถานีกระเช้าเกนติ้ง

ขนาดสัมภาระที่สามารถนำติดตัวขึ้นกระเช้าได้ต้องมีขนาดใหญ่ไม่เกินนี้ 56cm x 36cm x 23cm หรือ 22in x 14in x 9in ถ้ามีกระเป๋าที่ใหญ่มากกว่านี้ก็ต้องนั่งรถบัสแทน

ในเมื่อกระเช้าปิดเราก็นั่งรถกลับไปโรงแรม First world โดยรอรถที่หน้าโรงแรม Highlands ตรงจุดที่รถจอดให้เราลง

เที่ยววัดจีนบนเกนติ้ง Chin Swee Caves Temple

ผมมองดูนาฬิกาแล้วเรายังมีเวลาอยู่พอสมควรก่อนที่ถึงเวลา Check out โรงแรม First world เลยคิดว่าจะนั่งรถไปยังวัด Chin Swee Caves เป็นวัดจีนที่อยู่ใกล้กับยอดเกนติ้งประมาณ 7 นาที

การเดินทางจากโรงแรม First world ไปยังวัด Chin Swee Caves มีรถ Shuttle Bus ให้บริการฟรีทุกชั่วโมง โดยรถจะจอดที่ First world bus Terminal platform(ช่องที่) 5 ถ้าใครเคยอ่านรีวิวเก่าอาจจะเคยอ่านเจอว่าให้ไปขึ้นรถที่หน้าร้านกาแฟ Starbuck ปัจจุบันรถย้ายมาจอดที่ First world bus Terminal platform 5 แล้วนะครับ

ตารางเดินรถ First world bus Terminal platform 5 <–> Chin Swee Caves Temple

– ออกจาก First world bus Terminal 9.00 น, 10.00 น, 11.00 น, 12.00 น? ,14.00 น, 15.00 น,16.00 น, 17.00 น,18.00 น, 19.00 น, 20.00 น, 21.00 น (ไม่มีรถเที่ยว 13.00 น)

– ออกจาก Chin Swee Caves Temple 9.15 น, 10.15 น, 11.15 น, 12.15 น, 14.15 น, 15.15 น,16.15 น, 17.15 น,18.15 น, 19.15 น, 20.15 น, 21.15 น (ไม่มีรถเที่ยว 13.15 น)

ควรจะไปถึงก่อนรถออกประมา๊ณ 15 นาที รอออกตรงเวลามาก หรืออาจจะก่อนเวลาด้วยซ้ำ ผมไปถึงตอน 9 โมงพอดี ยังตกรถรอบ 9 โมง ต้องไปขึ้นรอบ 10 โมง

รถบัสติดแอร์ สีขาว – เขียว รูปด้านบนครับ

เห็นแม่ – ลูก 3 คนนี้ ถึงจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังพาแม่มาเที่ยว ดูแล้วน่ารักดีครับ

รถวิ่งลงจากเขาประมาณ 7 นาทีรถบัสก็มาจอดในวัด Chin Swee Caves

ที่ห้องโถงของทางวัดจะมีร้านค้า รูปปั้นจีน แกะสลักจากไม้ ร้านอาหารมังสวิรัติ

ร้านอาหารมังสวิรัติ เปิด 8.30 – 20.30 น.

ไฮไลท์ของวัดนี้จะอยู่ที่ลานด้านบนต้องเดินเข้าไปทางข้างร้านค้าแล้วขึ้นบันไดไปอีก 2 ชั้น

ออกจากประตูจะเจอกับศาลาทางจีน และพระพุทธรูปขนาดยักษ์ อากาศเย็นสบาย หมอกจางๆ ช่างคล้ายกับนองปิงที่ฮ่องกง

ข้อมูลวัด Chin Swee Caves

วัด Chin Swee Caves เป็นวัดลัทธิเต๋า ที่อยู่บนเกนติ้ง ไฮแลนด์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้ง Resort world คือ Tan Sri Dato? Seri Lim Goh Tong วัดตั้งอยู่บนระดับความสูง 4,600 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ล้อมรอบไปด้วยป่าอุดมสมบูรณ์

การก่อสร้างวัด Chin Swee Caves เป็นไปด้วยความยากลำบากและอันตราย เนื่องจากพื้นที่เป็นภูเขา ไม่สามารถใช้เครื่องมือขุดเจาะได้อย่างสะดวก ต้องใช้แรงงานคนเป็นส่วนใหญ่ ใช้เวลาสร้างถึง 18 ปี และใช้งบประมาณในการสร้างถึง 120 ล้านริงกิต วัดแห่งนี้เปิดในปี ค.ศ.? 1994

พระพุทธรูปแกะสลักจากหินขนาดใหญ่

วิวจากวัด Chin Swee Caves มองลงไปด้านล่าง เป็นถนนคดเคี้ยว สองข้างทางเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก หมอกลงจัด

รูปปั้นจีน

สังเกตในรูปด้านล่างมีช่องหินคล้ายถ้ำ คงเป็นที่มาของชื่อ Chin Swee Caves

กระเช้า Awana Skyway

เมื่อก่อนมีกระเช้าวิ่งระหว่าง Genting <–> Chin Swee Caves Temple <–> Awana แต่เป็นที่น่าเสียดาย กระเช้าสาย Awana Skyway ปิดให้บริการอย่างไม่มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012

สถานีกระเช้า Chin Swee Caves Temple

มองลงไปด้านล่างเห็นตึกใหญ่ๆ 3 ตึก เป็นโรงแรม Seri Malasia

รูปปั้น Tan Sri (Dr) Lim Goh Tong ผู้บุกเบิก ก่อตั้งเกนติ้ง และสร้างวัด Chin Swee Caves

หอคอย 9 ชั้น วัด Chin Swee Caves

ขากลับรถวนมาส่งที่ First world Terminal ที่เดิมที่เราขึ้นรถ ตอนนั้นเวลาใกล้เที่ยงแล้วครับ ต้องรีบขึ้นห้องไปเก็บกระเป๋า ลงมา Check out

Check out โรงแรม First world

การ Check out ของโรงแรม First world เป็นอะไรที่ง่ายมาก ง่ายกว่าการ Check in เสียอีก แค่เราเสียบการ์ดเข้าไปในตู้ Kiosk Check out สีเหลืองในรูปด้านบน รออีก 5 วินาทีหน้าจอจะบอกว่าเสร็จแล้ว สะดวกรวดเร็วดีจริงๆ ครับ

จากโรงแรม First world เราลากกระเป๋ามายังโรงแรม Theme Park ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสวนสนุก Outdoor Theme Park ระยะทางจากโรงแรม First world มาโรงแรม Theme Park ประมาณ 10-15 นาที โรงแรมจะอยู่ติดกับทางเข้าสวนสนุก ทางเข้าโรงแรมทำเหมือนปราสาทในนิยาย

โรงแรม Theme Park เป็นโรงแรมแห่งแรกบนเกนติ้ง สร้างขึ้นในปี 1971 เมื่อก่อนใช้ชื่อโรงแรมว่าโรงแรมไฮแลนด์ (Highlands Hotel) และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Theme Park ดูจากสภาพภายใน และภายนอกโรงแรมแล้ว ก็ยังใหม่ดูดีอยู่ ไม่น่าเชื่อว่ามีอายุถึง 41 ปี แล้ว คาดว่าคง Renovate อยู่ตลอดเวลา

เดินเข้ามาถึงใน Lobby ของโรงแรม มองดูนาฬิกาเพิ่งจะบ่ายโมง ยังไม่ถึงเวลา Check in (15.00 น) แต่ก็ไม่รู้จะเดินไปไหน มีกระเป๋าล้อลากไปด้วยไม่คล่องตัว

เลยลองถามพนักงานที่ Front ว่าสามารถ Check in ได้ไหม หรือต้องรอบ่าย 3 พนักงานเค้าก็ใจดีบอกว่าเช็คห้องว่างก่อน ปรากฎว่ามีห้องว่างก็เลยได้ Check in เลย

เอกสารในการ Check in ก็มี Passport และใบจองโรงแรมเท่านั้น แล้วก็รอพนักงานเขียนข้อมูลเราลงในใบ Check in แล้วเซ็นชื่อ พนักงานจะถามเราว่าต้องการ Key card กี่ใบ ถ้าต้องการ 2 ใบจะต้องใช้ Passport อีกเล่ม ไม่มีมัดจำ ผมว่าโรงแรม Theme Park ดูใส่ใจลูกค้ามากกว่าโรงแรม First world อาจเป็นเพราะคนพักไม่เยอะเท่า First world

โรงแรม Theme Park ผมจองห้อง Standard ได้ในราคา 168 RM เป็นราคาในคืนวันเสาร์ ถ้าเป็นวันธรรมดาจะราคาถูกกว่านี้ครับ ราคานี้เฉพาะห้องอย่างเดียว ไม่มีอาหารเช้า

การตกแต่งโรงแรมภายนอกเหมือนจะตกแต่งเอาใจเด็ก เล่นลายด้วยสีสดใส ทำเป็นภาพตัวการ์ตูน

ตุ๊กตาสวยๆ ที่ Lobby เด็กๆ ชอบมาถ่ายรูป

ซอง Key Card เราได้ห้องที่ชั้น 8 ครับ (Lobby อยู่ชั้น 5)

เดินมาถึงห้องเสียบ Key Card เข้าไปแล้วดึงออก ประตูกลับไม่เปิด เลยถามแม่บ้านที่กำลังเก็บห้องอยู่ว่าเปิดประตูไม่ได้ เธอก็ใจดีตอบมาเป็นภาษามาเลเซีย ฟังก็ไม่รู้เรื่อง เลยบอกไปว่า Can you help me? แล้วเธอก็มากลับการ์ดคว่ำลง เอาแถบแม่เหล็กขึ้นด้านบน รูดปรื๊ด ประตูปลดล๊อคทันที มันน่าโมโหจริงๆ โรงแรม First world ต้องเอาแถบแม่เหล็กคว่ำ แต่ Theme Park ต้องหงาย ทำไมไม่ทำให้เหมือนกัน

ไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับที่เปิดประตูไม่ได้ สักพักเราก็เจอคนไทยกลุ่มใหญ่ มุงกันหน้าห้อง เราก็นึกว่าทำอะไรที่แท้ก็เปิดประตูไม่ออกเหมือนกัน เลยไปอาสาทำให้เค้าดู ดีใจกันใหญ่เข้าห้องได้สักที

ในห้องดูเก่านิดนึง พื้นปูพรม มีเก้าอี้รับแขก

มองออกไปนอกหน้าต่างเป็น Garden View ดูแล้วสบายตา ฝนตกปรอยๆ มีหมอกหนามาก โดยรวมแล้วชอบโรงแรม Theme Park มากกว่าโรงแรม First world ครับ

ทุกอย่างเหมือนกำลังจะดี เรากำลังเอาของออกจากกระเป๋า เอาเสื้อผ้ามาแขวน แต่มาเจอว่าห้องน้ำมีปัญหากดชักโครกแล้วน้ำไหลออกมานิดเดียว ยังไงก็ใช้ไม่ได้แน่

เลยลงไปที่ Lobby บอกกับพนักงานว่าห้องน้ำมีปัญหา กดแล้วน้ำไม่ค่อยออก เธอถามว่าในห้องมีของอยู่ใหม่ เธอย้ายห้องใหม่ให้เลย ถึงแม้ห้องจะมีปัญหาแต่เจอการแก้ไขที่ดีแบบนี้เราก็ไม่ว่ากันครับ

ห้องใหม่อยู่ชั้น 12 เป็นชั้นสูงสุดของโรงแรม ข้างในดูใหม่ น่าพักกว่าห้องแรกเยอะ ตกแต่งดูทันสมัย แบบนี้มั้งครับที่เค้าเรียกว่าโชคดีที่โชคร้าย เข้ามาในห้องต้องทดสอบห้องน้ำก่อนเพื่อความชัวร์ ทดสอบแล้วผ่าน ใช้ได้

ภายในห้องมีพัดลมติดฝาผนัง ทีวี 21 ใหญ่กว่า First world Hotel อีก ห้องปูพรม สะอาด เตียงขนาด 5 ฟุต มีตู้เสื้อผ้า

มีกาต้มน้ำ แต่ไม่มีชา กาแฟให้ คงมีไว้เผื่อใครซื้อมาม่าคัพมาทาน น้ำดื่มไม่มีในห้อง แต่มีตู้กดน้ำร้อน น้ำเย็นด้านนอก เหมือน First world

ห้องน้ำแยกโซนเปียก โซนแห้งด้วยประตูบานสไลด์ และที่ถูกใจคือมีฝักบัวชำระแบบบ้านเรา ในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัว 2 ผืน กับหมวกอาบน้ำ ส่วนสบู่เหลวเป็นแบบกด

ลงมาด้านล่างโรงแรมมีมินิมาร์ทชื่อร้าน myNEWS.com ขายขนม ของกิน ของใช้ เครื่องดื่ม แต่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอลนะครับ มีหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ราคาก็น่าจะแพงกว่าปกตินิดหน่อย ถัดจากร้าน myNEWS.com เป็นร้าน Watson ร้านเล็กขายยา ของใช้ สบู่ ยาสระผม ฯลฯ

ตรงข้ามกับร้าน myNEWS.com เป็นร้านอาหาร Hainan ขายอาหารสไตล์ท้องถิ่นมาเลเซีย ติ่มซำ ก๋วยเตี๋ยว ขนมเค้ก ขนมปังทาแยม / สังขยา (Kaya Toast) กาแฟ (Kopi) พนักงานที่ Lobby บอกว่าถ้าต้องการใช้ wifi ให้ขอ Password กับร้าน Hainan ได้เลย ผมคิดว่าถ้าเราทานอาหารร้านเค้า ก็น่าจะขอ Password ใช้ได้ฟรี

เดินออกไปหน้าโรงแรมก็มีร้าน Marrybrown ขายไก่ทอด เป็นร้านที่ผมชอบที่สุดบนเกนติ้งแล้ว อาหารถูกปาก ราคาไม่แพง

เซตที่อยู่ในกล่อง (Nasi Marrybrown combo) + เป๊ปซี่ 1 แก้ว ราคา 13.9 ริงกิต ถูกกว่าข้าวแกงธรรมดาๆ บนเกนติ้งซะอีก ไก่ทอดก็อร่อยครับ มีผักดองคล้ายกิมจิ มีน้ำพริกพร้อมถั่ว + ปลาป่น ตามแบบฉบับมาเลเซีย

ทานข้าวเสร็จไปเดินเล่นย่อยอาหารที่สวนหลังโรงแรม Theme Park ไปดูวิวภูเขากันครับ

สวนหลังโรงแรม Theme Park

ทางลงไปสวนหลังโรงแรมจะต้องออกทางประตูข้างลิฟท์ ลงไปที่ชั้น 4

ในช่วงเช้า หรือเย็นบรรยากาศจะดีมาก มีหมอกจางๆ อากาศหนาว เย็นสบาย

มองลงไปด้านล่างเห็นวัด Chin Swee Caves อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่

ต้นไม้ในสวนดูธรรมดาไปนิดนึง อากาศแบบนี้ที่บ้านเหนือบ้านเรา ดอยตุง ดอยอ่างขาง ปลูกดอกไม้ได้งามกว่านี้เยอะ

น้ำพุในสวน

ตึกที่เห็นในรูปด้านล่างเป็นโรงแรม Theme Park

เจอดอกไม้สวยๆ แล้วครับ ดูคล้ายๆ ดอกลิลลี่

Outdoor Theme Park

โปรแกรมทัวร์ในช่วงบ่ายของวันนี้ ผมจะพาชมรอบๆ สวนสนุกเกนติ้ง โดยอาศัยถ่ายรูปจากด้านนอกบ้าง จากมุมสูงบนโรงแรมบ้าง แต่ไม่ได้เข้าไปด้านในนะครับ

ทางเข้าหลักของ Outdoor Theme Park จะอยู่ข้างๆ กับโรงแรม Theme Park เลย ส่วนทางเข้าอีกทางหนึ่งก็อยู่ตรงข้ามโรงแรม First world จ่ายค่าบัตรผ่านประตูตรงนี้แล้วเข้าไปเล่นข้างในได้เลย ไม่แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าจากในเวบ เพราะอากาศบนเกนติ้งไม่แน่นอน ฝนตกชุก ถ้าบนตกเครื่องเล่น Outdoor Theme Park ก็จะไม่เปิดให้บริการ

เข้าประตูมาก็จะเจอเครื่องเล่น Spinner เครื่องเล่นนี้คล้ายชิงช้า ผู้เล่นจะต้องเข้าไปนั่งในชิงช้าของตัวเอง แล้วเครื่องเล่นก็จะหวุนเหวี่ยงเป็นวงกลม ดูแล้วน่าจะเสียวและเวียนหัว ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 107 ซ.ม. นะครับ

ข้างๆ Spinner เป็นม้าหมุน 2 ชั้น หรือ Double Deck Carousel สำหรับเด็กเล็ก

รถไฟตัวหนอนสีเหลือง เป็น รถไฟ Monorail วิ่งวนรอบสวนสนุก เครื่องเล่นที่เล่นได้ทั้งครอบครัว แล่นช้า ไม่น่ากลัว

Cyclone เครื่องเล่นชนิดใหม่นั่งได้คันละ 4 คน วิ่งบนรางเหลืองที่โค้งไปมา ตอนนี้กำลังทดสอบระบบอยู่ครับ ยังไม่เปิดให้บริการ ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 122 ซ.ม.

ชิงช้าสวรรค์ Wall มีชื่อในสวนสนุกว่า Matahari นั่งได้กระเช้าละ 4 คน มีทั้งหมด 16 กระเช้า เป็นเครื่องเล่นแบบครอบครัว ไม่จำกัดส่วนสูงของผู้เล่น

Sungai Rejang Flume Ride เครื่องเล่นอันนี้คล้ายๆ เรือ ผู้เล่นจะต้องนั่งในเรือที่ไหลไปตามทางน้ำ มีบางช่วงต้องขึ้นเนิน ขาลงจากเนินต้องแล่นลงมากระแทกน้ำ น้ำจะสาดกระเด็น มีสิทธิเปียกสูงครับ ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 122 ซ.ม.

ป.ล. เห็นสีน้ำ แล้วก็คราบดำๆ ที่ทางน้ำ ทำเอาหมดสนุกไปเลย

Grand Prix Fun Kart หรือ รถโกคาร์ท ขับวนในสนามเล็กๆ ระยะทาง 800 เมตร ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 153 ซ.ม.

ส่วนเครื่องเล่นแบบหวาดเสียวมากๆ เท่าที่เห็นก็มีอยู่ 3 อย่าง Corkscrew,?Space Hot และ Flying Coaster

Corkscrew หรือรถไฟเหาะตีลังกา วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 70 กม./ชั่วโมง วิ่งผ่านช่วงโค้ง ควงเป็นวงกลม ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 140 ซ.ม.

Space Hot เป็นเครื่องเล่นแนวดิ่ง เรียกเสียงกรี๊ดได้มากที่สุด เล่นได้ครั้งละ 11 คน ตอนแรกเครื่องจะค่อยพาเราขึ้นไปด้านบน แล้วก็ปล่อยลงมาตามแรงดึงดูดของโลกด้วยความเร็วถึง 67 กม./ชั่วโมง เครื่องนี้มีระดับความสูงถึง 55.5 เมตร ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 137 ซ.ม.

Flying Coaster

Flying Coaster เครื่องเล่นชนิดนี้จะต้องนอนเล่น เล่นได้ครั้งละ 4 คน เครื่องจะแล่นไปตามแรงด้วยความเร็วสูงสุด 41 กม./ชั่วโมง เมื่อเจอทางโค้งหรือช่วงกลับรางผู้เล่นจะถูกเหวี่ยง รอบนึงใช้เวลาสั้นๆ ไม่เกิน 5 นาที ความสูงของราง 20 เมตร ระยะทาง 391 เมตร ผู้เล่นจะต้องมีส่วนสูงขั้นต่ำ 137 ซ.ม.

ตรงนี้เป็นถนนข้าง Outdoor Theme Park ฉากหลังเป็นโรงแรม First World

ศาลเจ้าจีนเล็กๆ

มอสที่ขึ้นเองอยู่ตามข้างทาง น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอากาศบนเกนติ้งได้ครับ ว่าชื้นขนาดไหน

First World Hotel ยามเย็น รูปนี้ถ่ายจากในห้องพักครับ

มื้อเย็นในวันนี้เราทานที่ร้านไก่ Marrybrown รู้สึกว่าร้านนี้ถูกปากมากที่สุดแล้ว

วันที่ 3 : กลับบ้าน

ตื่นเช้ามารู้สึกว่าไวเหมือนกัน วันนี้ต้องกลับบ้านแล้ว รีบอาบน้ำ แต่งตัว เก็บของลงกระเป๋าแล้วลงไปทานข้าว เปิดประตูมาเจอกับถุงที่แขวนอยู่หน้าห้อง และมีแขวนทุกห้อง

เปิดถุงออกมาเป็นหนังสือพิมพ์ New Sunday Times ดีจังมีหนังสือพิมพ์ให้อ่านด้วย ถ้าให้เทียบกับโรงแรม First world ผมชอบโรงแรม Theme Park มากกว่า ห้องสวยกว่า คนไม่พลุกพล่าน พนักงานใส่ใจดีกว่า ของกินก็หาง่าย มินิมาร์ทก็มี ราคาห้องพักก็ใกล้เคียงกัน

มื้อเช้าที่ร้าน Hainan โจ๊กร้อนๆ คู่กับกาแฟ โจ๊กราคา 9 ริงกิต ส่วนกาแฟ 3.6 ริงกิต ราคายังไม่รวม Tax + Service charge อีก 16%

ทานข้าวเสร็จ ลากกระเป๋าลงมา Check out เลย การ Check out ที่นี่ก็ง่าย และรวดเร็ว แค่ยื่นซอง + Key card ให้พนักงานที่ Lobby เท่านี้ก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องรอเช็คห้อง

จากเกนติ้งไปกัวลาลัมเปอร์

ท่ารถไปกัวลาลัมเปอร์ จะอยู่ข้างโรงแรม First world เป็นท่ารถเดียวกับตอนเรามา (First World Bus Terminal) ในท่ารถนี้มีรถวิ่งไปหลายที่เช่น สิงคโปร์ ปีนัง Bentong บัตเตอร์เวิร์ธ กัวลาลัมเปอร์

ถ้าต้องการจะไปกัวลาลัมเปอร์ซื้อตั๋วรถที่ช่องสีส้ม GENTING HIGHLANDS TRANSPORT ราคาตั๋วคนละ 5.9 ริงกิต วิ่งยาวรวดเดียวถึงกัวลาลัมเปอร์ รถจอดที่ท่ารถใกล้สถานีรถไฟฟ้า Titiwangsa สามารถต่อรถไฟฟ้าไปยัง KL Sentral, KLCC, Bukit Bintang ฯลฯ ได้สะดวก ซื้อตั๋วแล้วรอขึ้นรถตามเวลาในตั๋วได้เลย รถออกทุก 30 นาที ไม่ขายตั๋วล่วงหน้า ขึ้นรถที่ Platform 4

รถที่ให้บริการจะเป็นรถบัสคล้ายรถ ปอ. บ้านเรา ไม่ใช่รถแบบ VIP กระเป๋าใบใหญ่วางได้ที่ตำแหน่งล้อรถหลังเบาะหน้า ในตั๋วจะระบุที่นั่งไว้ ต้องนั่งตามเลขที่นั่ง ใครซื้อตั๋วช้า มีตั๋วยืนด้วยนะครับ

ประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 10 นาที รถก็วิ่งมาถึงท่ารถ Titiwangsa ในกัวลาลัมเปอร์ ลงจากรถแล้วเดินขึ้นรถไฟฟ้าได้เลย

ท่ารถ Titiwangsa

หลังจากที่เรามาถึงกัวลาลัมเปอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจะไปชอปปิ้งกันต่อที่ KL Sentral, Bukit Bintang, Central Market และ Chinatown ซื้อของเสร็จก็จะนั่งรถกลับไปสนามบิน LCCT รอขึ้นเครื่องกลับ รีวิวต่อจากนี้ขอแบ่งเป็นตอนต่อไปนะครับ จะได้ไม่ยาวจนเกินไป ติดตามชมกันนะครับ

อ่านตอนต่อไป –> ชอปปิ้งในมาเลเซีย Bukit Bintang ? Central market ? Chinatown

เที่ยวต่างประเทศ ไม่ง้อทัวร์

เซินเจิ้น ฮ่องกง 1 ฮ่องกง 2 มาเก๊า
มาเลเซีย มะละกา ชอปปิ้งในมาเลเซีย Genting (เกนติ้ง)
สิงคโปร์ 1 USS & Sentosa สิงคโปร์ 2 บาหลี

Post Views 2327

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

10 thoughts on “เที่ยวเกนติ้ง มาเลเซีย 3 วัน 2 คืน แบบไม่ง้อทัวร์

  • April 20, 2013 at 6:04 pm
    Permalink

    thank you for ur information, it’s help me and family to visit Malaysia this summer.
    Thank you again.

  • April 20, 2013 at 6:11 pm
    Permalink

    ตอบคุณ thadyai

    มาเลเซียไปไม่ยากครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ 🙂

  • October 7, 2013 at 10:40 pm
    Permalink

    มีแพลนจะพาแม่เที่ยวอยู่เลยค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ

  • October 4, 2015 at 10:56 pm
    Permalink

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลเที่ยวเกนติ้งของมาเลเซียละเอียดมากค่ะ ว่างๆอยากให้มาเยี่ยมชมมาเก๊ากันบ้างน๊าาา

  • July 7, 2016 at 12:04 pm
    Permalink

    แอดมิด ถ้าไปกันเอง ตม.มาเลเซียจะถามอะรัยรึป่าวครับ

  • July 7, 2016 at 12:19 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Tanakit

    ไม่เคยเจอถามอะไรนะครับ

  • September 20, 2016 at 12:40 pm
    Permalink

    จองโรงแรมไม่ได้อะคร่า ไม่มีบัตรเครดิต มีทางอื่นจองได้มัยคร่า ขอคำแนะนำน่อยคร่า

  • September 20, 2016 at 1:19 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Kung Kung

    ให้คนที่มีบัตรช่วยจองให้ครับ หรือไม่ก็สมัคร K-Web Shopping Card

  • December 22, 2016 at 12:00 pm
    Permalink

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่า วันนี้กำลังไปเก็นติ้งเลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *