รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น 11 วัน บิน A380 การบินไทย นั่งรถไฟจากสนามบิน Narita เข้า Tokyo

ผมมีความคิดที่อยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นมาหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ติดเรื่องค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวญี่ปุ่นค่อนข้างสูง บวกกับไม่สามารถลางานได้หลายวัน ก็เลยได้แต่เลื่อนมาเรื่อยๆ จนมาถึงปีนี้คิดว่าอะไรหลายๆ อย่างน่าจะลงตัวแล้ว เลยเริ่มวางแผนตั้งแต่ช่วงกลางปีว่าจะไปญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในปีนี้ให้ได้ หาข้อมูลทำ VISA และเริ่มเตรียมเอกสาร แต่สุดท้ายก็มีข่าวดีออกมาว่าญี่ปุ่นยกเว้น VISA ให้กับคนไทยแล้ว งานนี้เลยสบายเลยครับ ไม่ต้องเตรียมเอกสาร ไม่ต้องเสียค่าทำ VISA

รายละเอียดการยกเว้น VISA เข้าญี่ปุ่นให้กับคนไทย

1. มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556

2. สำหรับการอยู่ในญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน หากนานมากกว่านี้ต้องขอ VISA ตามปกติครับ

3. การเข้าประเทศได้ขึ้นกับการพิจารณาของ ตม.ญี่ปุ่น แต่ถ้าเรามีเจตนาไปเที่ยวจริง ไม่ได้หนีเข้าไปทำงานไม่ต้องกลัวครับ ผมยังไม่เคยเห็นนักท่องเที่ยวไทยถูกส่งกลับเลยแม้แต่คนเดียวตั้งแต่มีการยกเว้น VISA เข้าญี่ปุ่นให้กับคนไทย

4. มีข่าวลือว่าปีหน้า (2557) จะมีการยกเลิกการยกเว้น VISA ข่าวลือนี้ไม่เป็นความจริงครับ ทางสถานทูตญี่ปุ่นชี้แจงมาเองเลย ตามรายละเอียดใน link นี้ครับ www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm

เที่ยวญี่ปุ่นไปเองหรือไปกับทัวร์ดี

คำถามนี้เป็นคำถามโลกแตก ไม่มีคำตอบไหนถูกที่สุด ควรดูความเหมาะสมของตัวเราเองดีกว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวง่ายรถไฟครอบคลุมทั้งประเทศ การคมนาคมดีมาก ผู้คนนิสัยดีมีน้ำใจ สิ่งที่ยากในการไปเที่ยวญี่ปุ่นคือป้ายบอกทางในญี่ปุ่นบางที่ไม่มีภาษาอังกฤษ เส้นทางรถไฟที่ซับซ้อน แต่สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยการทำการบ้าน หาข้อมูลเยอะๆ ก่อนเดินทาง หลักที่ควรพิจารณาว่าควรไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองหรือไปกับทัวร์มีดังนี้ครับ

1. ถ้าชอบวางแผน วางโปรแกรมเที่ยวเอง = ควรไปเอง

2. ถ้างบประมาณมีจำกัด แต่อยากไปเที่ยวหลายที่ = ควรไปเอง

3. ถ้าชอบเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ ไม่ชอบชะโงกทัวร์ = ควรไปเอง

4. ต้องการไปเที่ยวแบบยืดหยุ่น ปรับแผนการเดินทางได้ตลอด = ควรไปเอง (เช่นแผนตอนแรกว่าจะไปดูภูเขาไฟฟูจิพรุ่งนี้ ตื่นเช้ามาดูพยากรณ์อากาศบอกที่โน่นฝนตก ก็สลับโปรแกรมเป็นชอปปิ้งในโตเกียวแทนได้)

5. ถ้ามีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยสะดวกเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ = ควรไปกับทัวร์

6. ถ้าไม่มีเวลาวางแผนเลย แต่อยากจะไปหลายที่ = ควรไปกับทัวร์

วางแผนเที่ยว

โดยปกติแล้วการไปเที่ยวญี่ปุ่นควรมีเวลาอย่างน้อย 5 วัน เพื่อที่จะได้คุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน, เวลาเดินทาง และญี่ปุ่นก็มีที่เที่ยวมากมาย ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม วัด ศาลเจ้า ชอปปิ้ง ภูมิภาคที่คนนิยมไปเที่ยวนั้นก็มีอยู่ 3 ภูมิภาคหลัก ได้แก่

1. ฮอกไกโด อยู่ตอนเหนือของญี่ปุ่น มีเมืองซัปโปโรเป็นเมืองหลวง คนนิยมไปเล่นหิมะ ดูทุ่งดอกไม้ ดอกลาเวนเดอร์ บ้านเรือนในเขตนี้มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปผสมอยู่

2. คันโต อยู่ตอนกลางของประเทศ เมืองหลักของย่านนี้คือโตเกียว ถ้าเป็นช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน คนจะนิยมมาดูซากุระกันที่นี่

3. คันไซ อยู่ด้านใต้ของญี่ปุ่น เมืองที่อยู่ในภูมิภาคนี้ก็มีโอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ โซนนี้เด่นเรื่องวัดเก่าแก่ ศาลเจ้า และใบไม้เปลี่ยนสี ภูมิภาคนี้ค่าครองชีพไม่แพงเมื่อเทียบกับฮอกไกโดและคันโต

โดยปกติแล้ว 1 ภูมิภาคควรมีเวลาเที่ยวอย่างน้อย 4 วัน ถ้ามีเวลาน้อยกว่านี้ผมมองว่าไม่คุ้มที่จะข้ามภูมิภาคเที่ยว เพราะเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก

เนื่องจากว่าทริปนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผม เลยอยากไปให้เต็มอิ่มเลยจัดไปถึง 11 วันครับ โดยไปเที่ยว 2 ภูมิภาค คันโต และ คันไซ โดยปกติแล้วถ้าไปเที่ยว 2 ภูมิภาคนี้คนจะนิยมบินมาลงที่โตเกียว (Narita airport) และกลับทางโอซาก้า (Kansai Airport) หรือ บินลงโอซาก้า แล้วกลับไทยทางโตเกียว เพราะจะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา แต่ผมลองเช็คราคาตั๋วเครื่องบินดูแล้วถ้าบิน Bangkok <–> Narita (Tokyo) จะราคาถูกกว่า Bangkok –> Narita (Tokyo), Osaka –>Bangkok ก็เลยยอมเอา Bangkok <–> Narita ก็ได้ ซึ่งมันก็มีข้อดีอีกอย่างคือเมื่อผมถึงโตเกียวแล้วผมเอากระเป๋าเดินทางฝากไว้ที่โตเกียวเลย แล้วเอาเสื้อผ้าที่ต้องใช้แพคใส่เป้าไปโอซาก้า มันสะดวกตรงที่ไม่ต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ไปมา

แผนการเดินทางทั้ง 11 วันของผมเป็นดังนี้ครับ

วันที่ 1 : เดินทางกรุงเทพฯ – โตเกียว นอนโตเกียว Candeo Hotel

วันที่ 2 : ฝากสัมภาระไว้ที่โรงแรมในคืนที่ 1 แล้วนั่ง Shinkansen ไปโอซาก้า เที่ยวโอซาก้า นอนโอซาก้า Hotel Consort

วันที่ 3 : เที่ยวนารา นอนโอซาก้า Hotel Consort

วันที่ 4 : เที่ยวเกียวโต นอนโอซาก้า Hotel Consort

วันที่ 5 : เที่ยวเกียวโต นอนโอซาก้า Hotel Consort

วันที่ 6 : นั่ง Shinkansen กลับโตเกียว เที่ยวโอไดบะ โตเกียว นอนโตเกียว Candeo Hotel นอนโรงแรมเดียวกันคืนที่ 1 เพราะฝากสัมภาระกับเค้าไว้

วันที่ 7 : เที่ยว Kawaguchiko ดูภูเขาไฟฟูจิ นอนโตเกียว Candeo Hotel

วันที่ 8 : เที่ยว Nikko นอนโตเกียว Hotel Empire In Shinjuku

วันที่ 9 : เที่ยว Mitake นอนโตเกียว Hotel Empire In Shinjuku

วันที่ 10 : เที่ยวโตเกียว ฮาราจูกุ ศาลเจ้าเมจิ , ดูใบแปะก๊วยสีเหลือง Tokyo University (Todai) , วัดเซ็นโซจิ Asakusa นอนโตเกียว Hotel Empire In Shinjuku

วันที่ 11 : เที่ยวโตเกียว ชิบูย่า บินกลับไทย

สำหรับค่าใช้จ่ายของทริปนี้ ไม่แพงอย่างที่คิด ตกคนละประมาณ 52,000 บาทเท่านั้น ดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายได้ในหน้านี้ครับ –> สรุปค่าใช้จ่าย เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 11 วัน ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

เลือกสายการบิน

หลังจากที่วางแผนเที่ยวแล้ว ขั้นต่อไปคือการจองตั๋วเครื่องบิน ขั้นตอนนี้ผมตัดสินใจอยู่หลายวันเหมือนกันว่าจะบินตรง หรือต่อเครื่องดี ถ้าเอาบินตรง Bangkok – Narita (Tokyo) ก็มี 3 สายการบินที่คนนิยมดังนี้ครับ ราคาด้านล่างเป็นราคาช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน – หน้าฝนก็จะราคาถูกกว่านี้ แต่ช่วงเดือนเมษายน โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์จะเป็นช่วงที่ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นแพงที่สุดเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวของคนไทยและเป็นช่วงซากุระบาน

– Delta Airlines เป็นสายการบินของอเมริกา ราคาประมาณ 18,000-19,000 บาท

– United Airlines เป็นสายการบินของอเมริกา ราคาประมาณ 18,000-19,000 บาท

– การบินไทย ราคาประมาณ 19,500-21,000 บาท ให้บริการด้วยเครื่องบินลำใหม่เกือบทั้งหมด ที่น่าสนใจก็ A380 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำใหม่ที่การบินไทยเพิ่งจะได้มาไม่นาน และเครื่องบินรุ่นนี้เป็นเครื่องบินพานิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยครับ รูทไปญี่ปุ่นนั้นเป็นหัวใจหลักของการบินไทยเลยก็ว่าได้ ความสะดวกสบายและการบริการก็ไม่น้อยหน้าสายการบินไหน และที่สำคัญให้บริการด้วยลูกเรือคนไทยมันอุ่นใจตรงนี้ครับ

ส่วนสายการบินที่ต้องต่อเครื่องที่คนนิยมมีดังนี้

– Cathay Pacific เป็นสายการบินฮ่องกง ต้องต่อเครื่องที่ฮ่องกง สายการบินนี้เป็นสายการบินที่เป็นสายการบินที่ดีติดอันดับต้นๆ ของโลก ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพและการบริการ ข้อดีของการไปต่อเครื่องฮ่องกงคือสามารถออกไปชอปปิ้งที่ Citygate outlets หรือจิมซาจุ่ยได้ ถ้ามีเวลาต่อเครื่องมากกว่า 4 ชั่วโมง ส่วนข้อเสียของสายการบินนี้ ตั๋ว class ราคาถูกไม่สามารถระบุที่นั่งได้เลย ต้องทำ web check-in ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเดินทาง หรือไปเลือกที่นั่งตอนเช็คอินที่สนามบิน ซึ่งโอกาสจะได้นั่งติดกันก็มีน้อย ราคาประมาณ 16,000-17,000 บาท

– China Eastern สายการบินจีน ต่อเครื่องที่เซี่ยงไห้ จีน ราคาประมาณ 16,000-17,000 บาท

– Air Macau สายการบินมาเก๊า ต่อเครื่องที่มาเก๊า สามารออกไปเดินเล่นในมาเก๊าได้ถ้ามีเวลามากพอ ราคาประมาณ 15,000-16,000 บาท

จากข้อมูลด้านบนจะเห็นว่าถ้าต่อเครื่องจะประหยัดได้ 3,000-5,000 บาท / คนเลยทีเดียว แต่ก็ต้องแลกกับการเสียเวลาและเหนื่อยมากกว่าบินการตรง เส้นทาง Bangkok – Narita (Tokyo) ถ้าบินตรงใช้เวลาบิน 6-7 ชั่วโมง ถ้าต่อเครื่องก็ใช้เวลาอย่างน้อย 9 ชั่วโมง

สรุปว่าเราตัดสินใจที่จะบินตรงครับ เลือกใช้บริการการบินไทย บินกับการบินไทยก็อุ่นใจกว่า อยากนั่งเครื่องใหม่ A380 ด้วย

จองตั๋วเครื่องบิน

การจองตั๋วเครื่องบิน โดยทั่วไปจะจองตรงกับทางสายการบิน กับจองผ่าน Agency แล้วจะเลือกจองกับใครดี? ถ้าราคาเท่ากันหรือไม่ต่างกันมาก จองตรงกับสายการบินเลยจะมั่นใจได้มากกว่า แต่ถ้าราคาของ Agency ถูกกว่า 2,000 บาทขึ้นไป/คน ก็จองกับ Agency จะประหยัดกว่า

การจองกับ Agency นั้นขอให้จองกับเจ้าใหญ่ ที่มีชื่อ ทำมานานแล้วอย่างเช่น kmt.co.th, cheaptickets.co.th, his-bkk.com ที่แนะนำมานี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียนะครับ ทริปนี้ออกเงินตัวเองทั้งหมด ผมเลือกจองกับ kmt.co.th คลิกดูราคาแล้วจองผ่านทางหน้าเวบ จากนั้นระบบจะส่งรายละเอียดการเดินทางและจำนวนยอดที่ต้องชำระมาให้เรา เราก็โอนเงินเข้าบัญชีบริษัท แล้วทางบริษัทก็จะส่ง E-Ticket หน้าตาดังรูปมาให้เราครับ ซึ่ง E-Ticket เราสามารถ print เป็นกระดาษ A4 ยื่นให้กับพนักงานที่ Counter check in ที่สนามบินได้เลย

จองที่พัก

ทริปนี้จองที่พักล่วงหน้า 4 เดือนทำให้มีโรงแรมราคาดีๆ หลายโรงแรมให้เลือก เราพักทั้งหมด 3 โรงแรม ในโอซาก้า 1 โรงแรม ส่วนที่โตเกียวนอนย่านอุเอะโนะ (Ueno) และ ชินจุกุ (Shinjuku) หลายคนอาจจะคิดว่าโตเกียวเป็นเมืองที่ค่าครองชีพแพงอันดับต้นๆ ของโลก ที่พักคงจะมีราคาแพงมาก แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ที่พักในโตเกียวระดับโรงแรม 3 ดาว ราคาเริ่มต้นที่ 2 พันกว่าบาท / คืน เท่านั้น

เที่ยวโตเกียวพักที่ไหนดี ?

สำหรับมือใหม่หัดเที่ยวญี่ปุ่นแนะนำให้พักใกล้กับสถานีรถไฟใหญ่ เช่น Ueno, Shinjuku ส่วนที่พักราคาประหยัดประเภทโฮสเทลจะอยู่ย่าน Asakasa สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกที่พักควรดูด้วยว่าเราเดินทางด้วยรถไฟ JR หรือ Subway เช่นถ้ามี JR Pass อยู่แล้วก็ควรที่จะพักในย่าน JR Yamanote line จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถไฟ Subway เพิ่ม

เที่ยวโอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ พักที่ไหนดี ?

การย้ายโรงแรมไปเรื่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องสนุก ถ้าเที่ยวในย่านนี้แนะนำให้พักย่าน JR Shin-Osaka เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของการท่องเที่ยวภูมิภาคนี้ สามารถนั่งรถไฟไปเกียวโต นารา โกเบ แบบเช้าไปเย็นกลับได้สบาย

Japan Rail Pass (JR Pass)

จากแผนการเที่ยวของผมถึง 11 วัน ข้ามภูมิภาคไปมาระหว่าง โตเกียว – โอซาก้า เฉพาะค่ารถไฟ Shinkansen ก็ขาละ 13,750 เยนแล้ว ไปกลับก็ 27,500 เยน งานนี้ซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ แพงแน่นอน ตัวช่วยของผมคือ JR Pass แบบ 7 วัน ราคา 28,300 เยน หรือประมาณ 9,100 บาท ซึ่ง JR Pass ผมสามารถนั่งรถไฟของ JR ไปไหนก็ได้ใน 7 วัน ครอบคลุมทั้งรถไฟ JR ท้องถิ่นใน โตเกียว เกียวโต โอซาก้า นารา, เมืองต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น และยังสามารถนั่ง Shinkansen ได้อีกด้วย แต่มีข้อยกเว้นคือขบวน Nozomi, Mizuho ไม่สามารถนั่งได้เลย ถ้าจะนั่งต้องเสียค่าตั๋วเต็มๆ ไม่มีส่วนลดใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราก็สามารถนั่ง Shinkansen ขบวนอื่นแทน 2 ขบวนต้องห้ามได้เช่น Hikari, Sakura, Kodama

ใครที่ลังเลว่าจะซื้อ JR Pass ดีหรือไม่ ให้ลองคำนวนค่ารถไฟดูครับ ถ้าจ่ายมากกว่า JR Pass ก็ซื้อ JR Pass ไปเลย ค่ารถไฟสามารถคำนวนได้โดยการใส่สถานีต้นทาง และปลายทางลงไปในเวบนี้ครับ www.hyperdia.com สำหรับผมแล้วแค่ไปกลับ โตเกียว <–> โอซาก้า ก็จะเท่าราคา JR Pass แล้วครับ ที่เหลือก็เป็นกำไรไป

JR Pass เป็นสิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น คนญี่ปุ่นก็ไม่สามารถซื้อได้ และต้องซื้อจากไทยไปเท่านั้น ไปซื้อที่ญี่ปุ่นไม่ได้ครับ ผมแนะนำให้ซื้อจากตัวแทนที่ได้รับสิทธิในการขาย JR Pass อย่างถูกต้องเท่านั้น ค่าตั๋ว JR Pass ก็ไม่ใช่ถูกๆ เน้นชัวร์ดีกว่า ของผมไปซื้อที่ บ. H.I.S ซึ่งเป็น บ. ญี่ปุ่น มีชื่อเสียงเรื่องทัวร์ญี่ปุ่น ราคา JR Pass 7 วันอยู่ที่ 9,100 บาท (ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเรทค่าเงินเยน)

ซื้อ JR Pass Online 

สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แนะนำให้ซื้อ Online ทางเวบ KLOOK ราคาถูกกว่าด้วย ซื้อ JR Pass Online คลิ๊ก

เราสามารถซื้อ JR Pass ล่วงหน้าได้ 90 วัน ขั้นตอนการซื้อก็แจ้งชื่อ – นามสกุล หมายเลข Passport ทุกอย่างต้องตรงกันเป๊ะเท่านั้นครับ ผมแนะนำให้นำสำเนาหรือถ่ายรูปหน้า Passport ให้พนักงานขาย JR เลย จะได้หมดปัญหาเรื่องการสะกดผิด

JR Pass ที่เราซื้อมาจะเป็น Exchange Order เราต้องเอาไปเปลี่ยนเป็น JR Pass ตัวจริงที่ญี่ปุ่นอีกรอบครับ

สภาพอากาศ อุณหภูมิช่วงใบไม้เปลี่ยนสี กลางเดือนพฤศจิกายน ถึงต้นเดือนธันวาคม และ การแต่งตัว

อากาศในช่วงนี้ถือเป็นหน้าหนาวของประเทศญี่ปุ่นแล้ว ในภูมิภาคคันโต (โตเกียวและเมืองรอบๆ) และ คันไซ (โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ) อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 8-12 องศา การแต่งตัวใส่เสื้อยืด 1 ตัว ทับด้วยเสื้อยืดแขนยาวอีก 1 ตัว แล้วปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวแบบบั้งอีก 1 ตัว ท่อนล่างก็กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ ก็อุ่นสบายๆ แล้ว อุณหภูมิเท่านี้ลองจอนไม่จำเป็นนะครับ ใส่แล้วจะรำคาญเปล่าๆ สำหรับผู้หญิงญี่ปุ่นนิยมใส่รองเท้าบูท ถุงน่องสีดำ คู่กับกางเกงขาสั้น หรือกระโปรงสั้น

ระบบไฟฟ้า

ญี่ปุ่นใช้ไฟ 100 VAC 50-60 Hz ถึงแม้ไฟจะน้อยกว่าบ้านเรา แต่อุปกรณ์ไฟฟ้าเกือบทุกชนิดทำมารองรับไฟตั้งแต่ 100-240 VAC อยู่แล้ว จึงใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา รูปลั๊กไฟมาตราฐานญี่ปุ่นเป็นแบบ 2 ขาแบบ ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พกพาไปด้วยเป็นแบบขาแบนก็สามารถเสียบได้เลย เช่นสายชาร์จ Iphone แต่ถ้าเป็นแบบขากลมจำเป็นต้องมีตัวแปลง (Adaptor) จากขากลมให้เป็นขาแบนเสียก่อน Adaptor ควรหาซื้อจากไทยไปเลย เพราะที่ญี่ปุ่นหาซื้อยากมาก แม้แต่ห้างใหญ่ๆ ก็ไม่มีขาย หรืออาจจะใช้วิธีขอยืมโรงแรมเอาก็ได้

ใช้ Internet ที่ญี่ปุ่น

ใน ประเทศญี่ปุ่นมีฟรี wifi อยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นสนามบินนาริตะ, สนามบินคันไซ, และตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ เช่น JR Tokyo, JR Akihabara, JR Ueno, JR Ikebukuro, JR Shinjuku, JR Harajuku, JR Shibuya, JR Shin-Osaka, JR Kyoto และสถานีอื่นๆ อีกมากมาก

แต่ถ้าต้องการใช้ Internet ตลอดการเดินทาง สามารถซื้อ Internet Sim หรือ เช่า Pocket wifi เอาก็ได้ โดยจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป

1. Internet Sim เจ้าที่นิยมสุดจะเป็น B-mobile มีให้เลือกแบบ 1GB Prepaid และ 14 days Prepaid ราคา 3,980 เยน ถ้ารับซิมที่สนามบินบวกเพิ่ม 210 เยน ซิมเจ้านี้รองรับ smart phone ได้หลายรุ่น เพื่อความชัวร์ลองตรวจสอบรุ่นก่อนสั่งซื้อ www.bmobile.ne.jp/english

2. Pocket wifi เป็นกล่องกระจายสัญญาณ wifi ขนาดพอๆ กับฝ่ามือ หรือเล็กกว่า สามารถปล่อยใช้งานได้สูงสุด 10 เครื่อง เหมาะสำหรับการเดินทางหลายคน แชร์กันใช้งาน ค่าเช่าใช้งานประมาณวันละ 150-270 บาท ปัจจุบันมีผู้ให้บริการรับและคืนเครื่องในไทยแล้ว

แลกเงินเยน JPY

ญี่ปุ่นจะใช้เงินสกุล JPY (Japanese yen) หรือที่เราเรียกกันว่าเงินเยน คนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้โชคดีมากครับเรทเงินเยนตกลงมาจาก 1 เยน : 0.4x บาท เหลือ 1 เยน : 0.31 – 0.32 บาท สำหรับสถานที่แลกเงินผมแนะนำที่ร้าน superich จะเขียวหรือส้มก็แล้วแต่เรทว่าอันไหนดีกว่า โดยปกติจะแทบไม่ต่างกัน และอีกที่คือ ธ.กสิกรไทย เรทค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ

ผมไปแลกที่ ธ.กสิกรไทย ทยอยแลก 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 195,000 เยน ใช้เงิน 63,247 บาท เรทอยู่ที่ 1 เยน : 0.3243 บาท ถ้าไปแลกที่ superich จะได้เรทดีกว่านี้นิดนึงครับ

หลังจากขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้น คราวนี้ก็รอเวลาไปเที่ยวแล้ว ระหว่างรอวันเดินทางก็อ่านรีวิวใน pantip มาหลายรีวิวมาก เก็บข้อมูลมาเรื่อยๆ

ตัดมาที่วันเดินทางเลย ขาไปเป็นเที่ยวบิน TG676 เครื่องออกเวลา 8.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ Air Asia ย้ายมาอยู่ที่ดอนเมืองผมเพิ่งจะมาสุวรรณภูมิก็ครั้งนี้แหล่ะครับ รู้สึกว่าสนามบินสุวรรณภูมิคนโล่งกว่าเดิมเยอะเลย

ผมมาถึงสนามบินประมาณตี 5 ทริปนี้ไปกัน 2 คน 11 วัน ใช้กระเป๋าเดินทาง ขนาด 24 นิ้ว 2 ใบ และใส่กระเป๋าเป้ และถุงผ้าไปในกระเป๋าเดินทางด้วย เอาไว้แยกส่วนไปโอซาก้า และเผื่อซื้อของฝากมาเยอะจะได้ถือขึ้นเครื่องได้

สำหรับน้ำหนักสัมภาระของ economy การบินไทยให้โควต้า 20 กิโลกรัม / คนสามารถรวมน้ำหนักกันได้ เช่นคนนึง 25 กิโลกรัม อีกคน 15 กิโลกรัม (ข้อมูลอัพเดท 2559 การบินไทยชั้น economy ให้โควต้าน้ำหนัก 30 กิโลกรัม)

น้ำหนักที่ได้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเดินทางหลายวัน และยังมีของฝาก ของช๊อปปิ้งที่ต้องซื้อกลับมาด้วย วิธีการแก้ปัญหาให้หาซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักกระเป๋าเดินทาง ติดไปด้วย จัดกระเป๋าเดินทางให้เต็ม 20 กรัม และส่วนที่เหลือก็แบ่งเป็นสัมภาระถือขึ้นเครื่อง

Counter check in ของการบินไทยจะอยู่ที่แถว J ซึ่งจะแบ่งเป็นในประเทศ (Domestic) และระหว่างประเทศ (International) มี counter ปกติ และ counter สำหรับผู้โดยสารที่ทำ internet check in มาแล้ว เดี๋ยวนี้แทบจะทุกสายการบินจะมีให้ทำ check in ทางเวบ 24 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ซึ่งตรงนี้มีประโยชน์มากๆ ครับ เพราะเค้าจะมีแถวสำหรับคนทำ check in ทางเวบมาแล้ว ซึ่งแถวจะสั้น ไม่มีคิวเลย ไม่ว่าจะบินกับสายการบินไหน ผมแนะนำให้ทำ internet check in มาก่อนเลยครับ

อย่างของการบินไทย ก็เข้าไปที่เวบการบินไทย กดตรง icheck in กรอก Booking Reference แล้วติ๊กชื่อผู้โดยสาร กดตกลงเท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำ

ผมใช้เวลาที่ counter check in ไม่นาน กระเป๋าโหลดไปแล้วก็ไปหาข้าวเช้าทานก่อนขึ้นเครื่อง ทานที่ Magic Foodpoint ศูนย์อาหารราคาประหยัดของสนามบินสุวรรณภูมิ

เช็คดูซักหน่อยเครื่องบินตามเวลาปกติ ไม่ delay ใช่ไหม

หลังจากนั้นก็ผ่าน ตม. ไทย เดี๋ยวนี้ช่องคนไทยใช้ Auto gate หมดแล้วครับ สะดวก และรวดเร็ว แต่จะไม่มีตราประทับลง Passport

TG676 Gate ขึ้นเครื่องอยู่ที่ C3 สงสัยจะไปถึงเร็วไปหน่อย Gate ยังไม่เปิดเลย

Airbus A380 จอดรอเทียบงวงแล้วครับ ลำใหญ่มาก กำลังทยอดโหลดสัมภาระขึ้นเครื่อง

พอใกล้เวลา Boarding Time คนเยอะมากครับ ก็จะไม่เยอะได้ยังไง ในเมื่อ A380 จุผู้โดยสารได้ถึง 508 ที่นั่ง ตอนแรกผมคิดว่าการบอร์ดผู้โดยสารขึ้นเครื่องจะวุ่นวาย เพราะคนเยอะมาก แต่พอถึงเวลาขึ้นเครื่องเค้าจะเรียกผู้โดยสารขึ้นเป็นชุดๆ ครับ โดยเริ่มจาก Royal first class ก่อน ตามด้วย Royal silk สำหรับผู้โดยสาร economy ก็จะเรียกตามลำดับแถว ก็ใช้เวลาไม่นานและไม่วุ่นวายอย่างที่คิด

A380 จะมีที่นั่งอยู่ด้วยกัน 2 ชั้นครับ ชั้นบน (Upper Deck) สำหรับ Royal first, Royal silk และ economy ไม่กี่ที่นั่ง ส่วนชั้นล่าง (Lowwer Deck) จะเป็นของ economy ทั้งหมด การจัดวางที่นั่งจะเป็นแบบ 3-4-3 ABC-DEFG-HJK ส่วน I หายไปไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน

Seat pitch ของ economy จะมีระยะห่างที่ 31-32 นิ้ว ซึ่งก็ถือว่ากว้าง นั่งสบาย ใครที่อยากรู้ว่ารูปแบบที่นั่งว่าจัดวางในรูปแบบไหนแนะนำให้ไปดูที่เวบนี้เลยครับ www.seatguru.com ใส่สายการบิน เที่ยวบิน ก็จะมี Layout ให้เห็นทุกที่นั่งเลย ใครไม่อยากนั่งติดปีก ไม่อยากนั่งใกล้ห้องน้ำเลือกดูเอาได้เลยครับ

เที่ยวบิน TG676 เครื่องออกเวลา 8.00 น. ถึงสนามบินนาริตะ โตเกียว เวลา 15.30 น (เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง) ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 50 นาที ถ้าอยากเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิจากบนเครื่องบินให้นั่งฝั่งซ้าย กัปตันจะประกาศบอกตอนผ่านภูเขาไฟฟูจิ แต่สำหรับผมแล้วบินนานขนาดนี้ขอที่นั่งติดทางเดินดีกว่า เวลาเมื่อยยังพอลุกไปเข้าห้องน้ำได้สะดวก

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นั่ง A380 เครื่องใหม่ พร้อม PTV ทุกที่นั่ง บินนิ่มมากครับ Take off ยังไม่รู้สึกเลย ไม่สั่น หูก็ไม่ค่อยอื้อ ไม่มีอาการเวียนหัวเลยแม้แต่นิดครับ เสียงเครื่องยนต์ก็เงียบ ไม่ได้ยินเสียงเลย

พอเครื่องบินได้ระดับก็เริ่มสำรวจที่นั่ง อุปกรณ์ต่างๆ

ของที่การบินไทยมีให้ก็จะมีหูฟัง อันนี้ห้ามเอากลับนะครับ ผมเคยนั่ง Swiss Air สายการบินนี้ให้เอากลับได้ด้วย แต่ผมว่ามันก็ไม่น่าเอากลับไปหรอก หูฟังเป็นแบบ 2 รู จะไปเสียบกับอะไรได้ แถมเสียงก็ไม่ได้ดีอะไร นอกจากนั้นก็มีหมอนกับผ้าห่ม

สิ่งที่ผมชอบที่สุดในเที่ยวบินนี้ก็เจ้านี่ครับ PTV พร้อมสิ่งบันเทิงในนี้มากมาย

หน้าจอเป็นแบบ Touch screen ขนาดจอ 10.6 นิ้ว สามารถใช้งานได้ทั้ง Touch screen และ Joy stick ด้านล่างขวาของจอเป็นช่องเสียบชาร์ตแบบ USB เราสามารถเสียบชาร์ต Ipad, Iphone โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ได้

เมนูหลักก็จะมีบันเทิง, ข้อมูล, รายการเด็ก, การบริการบนเครื่อง, ประตูสู่เมืองไทย

ภาพยนต์

รายการเพลง

แผนที่การบิน

ที่เมนูบันเทิงก็มีหนังอยู่หลายเรื่องทั้งหนังไทย หนังฝรั่ง ที่สำคัญพากย์ไทยด้วยครับ หนังมีทั้งหมด 9 หน้า หน้าละ 16 เรื่อง ก็ทั้งหมด 144 เรื่อง หนังใหม่ๆ ก็มีหลายเรื่องนะครับ แบบเพิ่งออกจากโรงไม่เกิน 6 เดือน Fast & Furious 6, Now you see me ก็มี หนังไทยก็มีองค์บาก 3, ATM เออรัก เออเร่อ, หนีตามกาลิเลโอ ฯลฯ เยอะมากดูกันไม่หมด

นอกจากนั้นก็มีเพลงไทย เพลงสากล เกม ข้อมูลการบินว่าเราอยู่ตรงไหนแล้ว ความเร็วเท่าไหร่ มีโปรแกรมแชทกับที่นั่งอื่นๆ บนเครื่องได้ด้วย เยี่ยมมากๆ ครับ In-flight entertainment A380 ของการบินไทย ทำให้เวลา 5 ชั่วโมง 50 นาที เป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อเลย ส่วน wifi บนเครื่องตอนนี้ยังไม่สามารถใช้ได้นะครับ แต่ก็มีข่าวว่าจะใช้งานได้ในช่วงเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ค่าใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 3 MB 4.50 $ และ 10 MB 14 $ จากราคานี้น่าจะเหมาะกับนักธุรกิจที่ต้องการเช็คเมล ติดต่องานเร่งด่วน

ประมาณ 9 โมง ลูกเรือก็เริ่มแจกอาหาร ลูกเรือของการบินไทยนี่อายุดูจะเยอะกว่าสายการบินอื่น ลูกเรือผู้ชายจะดูหน้าตาออกใจดี ใจเย็น บริการดีครับ อาหารมื้อเช้าจะเป็นออมเล็ตกับไส้กรอก มัน ครัวซอง โยเกิร์ต ส่วนอีกชุดนึงจะเป็นข้าวต้มกุ้ง รสชาติอาหารก็ใช้ได้นะครับ

เครื่องดื่มก็จะมีชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ในช่วงเช้าจะไม่เสริฟแอลกอฮอลนะครับ แต่จะเสริฟ flight เย็น

ทานข้าวเสร็จลูกเรือก็มาเดินแจกใบ ตม. ญี่ปุ่น แบ่งเป็น 2 ส่วนคือขาเข้า และ ขาออก เหมือนประเทศอื่นๆ การกรอกใบ ตม. ก็จะเหมือนๆ กันเกือบทุกประเทศครับ เช่นชื่อ นามสกุล สัญชาติ เพศ อายุ อาชีพ ที่อยู่ในญี่ปุ่น อยู่นานกี่วัน

นอกจากใบ ตม แล้วก็มีใบศุลกากร ก็จะถามว่าเรามีของต้องห้ามเข้ามาไหม เช่นเหล้า บุหรี่ เอามาเกินโควต้าไหม พกพกเงินเข้าเกิน 1,000,000 เยนไหม ใบศุลกากรจะให้กรอกครอบครัวละใบนะครับเช่น มา 2 คนกับแฟนก็กรอกใบเดียวพอ หรือมา 4 คนพ่อ แม่ ลูก ก็กรอกแค่ 1 ใบเหมือนกัน

สำหรับคนที่กังวลว่าจะกรอกใบ ตม. ญี่ปุ่น ใบศุลกากร ไม่ถูก ให้เปิดดูคำแปล การกรอกข้อมูลได้ในหน้านี้ครับ –> รายละเอียดการกรอกใบ ตม. ใบศุลกากร ประเทศญี่ปุ่น

หลังจากกรอกเอกสารเสร็จก็ดูหนังยาวๆ กันไป หรือจะนอนไปเลยก็ได้

14.30 น. ก่อนเครื่องลงจอด ลูกเรือแจกของว่างเป็นแซนวิช ก่อนลงจากเครื่องอย่าลืมปรับเวลาให้เป็นเวลาของประเทศญี่ปุ่นด้วยนะครับ ซึ่งจะเร็วกว่าเวลาบ้านเรา 2 ชั่วโมง เช่นถ้าเวลาบ้านเราเที่ยง ญี่ปุ่นจะเป็นบ่าย 2

15.30 น. เครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะ โตเกียว Terminal 1 เครื่อง Landing ได้นิ่มนวลไม่แพ้ Take off เลยครับ เครื่องนิ่ม กัปตันเก่ง

ลงจากเครื่องมาแล้วก็เดินตามป้าย Arrivals มาเลย ไกลเหมือนกันครับ

ตม. ญี่ปุ่น

และแล้วก็ถึงขั้นตอนที่บีบหัวใจใครหลายๆ คน ก็คือ ตม. ที่นี่จะมีแถวสำหรับนักท่องเที่ยวและแถวสำหรับชาวญี่ปุ่น มีเจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกให้ว่าให้ไปต่อแถวไหน ช่วยตรวจเอกสารให้ว่ากรอกครบไหม การจัดการดีมากๆ ครับ ตม. ญี่ปุ่น จะแต่งตัวเหมือนพนักงานบริษัทคือใส่เสื้อเชิ้ต ผูกไทต์ ดูไม่น่ากลัวเลยซักคนครับ ผมยืนดูอยู่หลายคนที่เข้าไปก็ไม่มีใครโดนถามแบบน่ากลัว ไม่มีใครถูกเชิญเข้าห้องเย็น ใครที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกแบบไม่ต้องใช้ VISA ไม่ต้องกังวลนะครับ พยายามแต่งตัวให้ดูดีแบบนักท่องเที่ยว พกแผนการเดินทาง ใบจองโรงแรม ตั๋วขากลับ เงินก็เอาไปตามสมควร เท่านี้ก็พอแล้วครับ

พอถึงคิวผมก็ยื่น passport ให้ เจ้าหน้าที่ก็เปิดดู แล้วให้มองกล้อง จากนั้นก็ให้เอานิ้วชี้ 2 ข้างวางทาบเครื่องเพื่อสแกนลายนิ้วมือ ทุกขั้นตอนมีภาษาไทยบอกด้วย จากนั้นจากหน้าที่ก็คืน passport พร้อมขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย ไม่ได้ถามอะไรซักคำครับ ง่ายและรวดเร็วมาก

ขั้นตอนนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปมานะครับ ตามหลักสากลแล้วบริเวณนี้ห้ามถ่ายรูป

หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ ก็รีบหาทางขึ้นรถไฟเข้าเมืองเลย ทางไปสถานีรถไฟในสนามบินให้ลงบันไดเลื่อนตามป้าย Railways เลยครับ ทั้งรถไฟของ JR และ Keisei

เมื่อลงมาด้านล่างก็จะเจอกับ JR EAST Travel Service Center ใครที่ซื้อ JR Pass (Exchange Order) มาจากไทย สามารถไปแลกเป็น JR Pass ตัวจริงได้ที่นี่เลยครับ

ขั้นตอนมีดังนี้

1. ยื่น Exchange Order ให้เจ้าหน้าที่พร้อม Passport

2. กรอกแบบฟอร์มการใช้งาน พร้อมระบุวันที่จะใช้งานวันแรก

3. หลังจากนั้นจะได้ JR Pass ตัวจริงมา ขนาดประมาณ Passport

JR Pass ตัวจริงจะมีระบุวันที่ใช้งาน ต้องเก็บไว้ดีๆ นะครับ ถ้าหายไม่สามารถทำใหม่ได้

จากนั้นเราก็เข้าโตเกียวกันครับ

จากสนามบินนาริตะ เราสามารถเข้าโตเกียวได้ 3 วิธี

1. รถไฟ ค่อนข้างสะดวก มีตั้งแต่ราคาถูกจนราคาแพง หรูหราจนถึงธรรมดา เอาเฉพาะขบวนยอดนิยมละกัน ขบวน Local ไม่เอามาพูดถึงเพราะวิ่งช้า ไม่ควรนั่งครับ

– 1.1 JR Narita Express (NEX) เป็นรถไฟหรู นั่งสบายจากค่าย JR ใช้เวลาเดินทาง 60 นาทีถึงสถานีโตเกียว ค่าโดยสาร 2,940 เยนสำหรับตู้ธรรมดา และ 4,430 เยนสำหรับ Green Cars (first class) สามารถใช้ JR Pass ขึ้นได้ ต้องมีการจองที่นั่งก่อนขึ้นเท่านั้น

– 1.2 JR Narita Rapid Airport ขบวนรถเร็ว Sobu line ใช้เวลาเดินทาง 80 นาทีถึงสถานีโตเกียว ค่าโดยสาร 1,280 เยน

– 1.3 Keisei Skyliner (เคย์เซย์ สกายไลเนอร์) เป็นรถไฟหรู นั่งสบายจากค่าย Keisei ใช้เวลาเดินทางถึงสถานี Ueno เพียง 41 นาทีเท่านั้น ค่าโดยสาร 2,400 เยน

– 1.4 Keisei Limited Express (เคย์เซย์ ลิมิเต็ด เอ็กเพรส) ขบวนรถราคาประหยัดจากค่าย Keisei ใช้เวลาเดินทางถึงสถานี Ueno 75 นาทีเท่านั้น รถไฟออกทุก 30 นาที ค่าโดยสาร 1,000 เยน

2. รถบัส Airport Limousine Bus ราคาประมาณ 1,000-3,000 เยน ถ้าเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนอาจจะเสียเวลารถติด

3. Taxi ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะค่าโดยสารราคาแพงมาก คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,000-7,000 บาท / คัน

จากข้อมูลด้านบนหลายคนอาจจะงงว่าควรนั่งขบวนไหนเข้าโตเกียวดี เพราะมีให้เลือกเยอะ ผมฟันธงให้แบบง่ายๆ ถ้าเปิดใช้ JR Pass เลยก็นั่ง NEX ไป แต่ถ้าเสียเงินเองก็นั่ง Keisei Limited Express เพราะราคาเพียง 1,000 เยนเท่านั้น

หลังจากเลือกรถไฟเข้าเมืองได้แล้วก็ซื้อตั๋วกันครับ สำหรับ Keisei ก็ซื้อที่ Counter นี้

รถไฟ JR ก็ Counter สีแดง ในรูปด้านล่าง

เราสามารถซื้อตั๋วแบบเป็นเที่ยวๆ หรือจะซื้อบัตรเติมเงินแล้วให้ตัดเงินจากบัตรเป็นค่ารถไฟก็ได้ครับ บัตรเติมเงินจะได้ความสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าโดยสาร

สำหรับบัตรเติมเงิน (IC Card) จะมีอยู่ 2 ชนิด

1. Suica เป็นบัตรของค่าย JR East ซื้อบัตรใหม่ 2,000 เยน เป็นค่ามัดจำ 500 เยน และเงินในบัตรอีก 1,500 เยน เติมเงินขั้นต่ำครั้งละ 1,000 เยน

2. Pasmo เป็นบัตรของค่าย Tokyo Metro มีค่ามัดจำ 500 เยน เติมเงินขั้นต่ำครั้งละ 1,000 เยน

บัตรเติมเงินนอกจากจะใช้ขึ้นรถไฟได้แล้วยังสามารถชำระเงินตามมินิมาร์ท ร้านค้า ตู้ขายของ และขึ้นรถเมล์ได้อีกด้วย โดยดูได้จากสัญลักษณ์บัตร Suica และ Pasmo ของผู้ให้บริการ ลักษณะบัตรจะเป็นบัตร RFID แบบไม่สัมผัสเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา บางทีเค้าก็เรียกบัตรเติมเงินว่า IC Card ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า IC Card ที่ประตูทางเข้ารถไฟฟ้านั่นหมายความว่าให้เอาการ์ดไปแตะตรงนั้น

เนื่องจากว่าการเดินทางของผมค่อนข้างเยอะ เลยคิดว่าซื้อเป็นบัตรเติมเงิน Suica ไปน่าจะสะดวกกว่า ผมจะใช้บริการ Keisei Limited Express เข้าโตเกียว เพราะเป็นรถไฟที่ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ช้าเหมือนรถไฟสาย Local ไม่ได้จอดทุกสถานี เดี๋ยวผมจะใช้บัตร Suica นั่งรถไฟ Keisei เลย

การขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ยากครับ ดูป้ายเอาว่า Keisei Limited Express จอดที่ชานชาลา (Track) ไหนแล้วก็ไปขึ้นตามเวลา และชานชาลาที่ป้ายบอก ที่ตัวรถไฟก็จะมีบอกอีกว่ารถไฟคันนี้มุ่งหน้าไปไหน ถ้าเช็คทุกอย่างตามที่ว่ามานี้ยังไงก็ไม่มีผิดขบวนแน่นอนครับ

เดินไป track ที่ Keisei Limited Express จอดอยู่ พบว่ารถไฟมาจอดรออยู่แล้ว ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟได้เลย

ภายในรถไฟจะจัดที่นั่งขนานไปกับตัวรถ คล้ายกับ BTS, MRT บ้านเรา จะนั่งตรงไหนก็ได้ครับ ส่วนกระเป๋าเดินทางก็วางไว้หน้าเราได้เลย ที่สถานี Narita คนจะยังขึ้นไม่เยอะ แต่พอแล่นไปเรื่อยๆ จอดตามสถานีต่างๆ คนก็ขึ้นมาเรื่อยๆ สำหรับคนที่จองโรงแรม ที่พักในวงของ JR Yamanote line มี 2 สถานีให้เลือกลงได้แก่ Nippori และ Ueno โดย 2 สถานีนี้สามารถเชื่อมกับ JR Yamanote line ได้ สถานี Nippori จะถึงก่อน และ Ueno เป็นสถานีสุดท้าย รวมใช้เวลาจากสนามบิน Narita มาถึง Ueno ประมาณ 75 นาทีครับ

ออกจากสถานี Keisei Ueno ก็ลากกระเป๋าเดินตามป้าย JR Ueno พอออกจากสถานีก็รับรู้ได้ถึงความหนาวของโตเกียวอุณหภูมิประมาณ 10 องศา ก็ถือว่าหนาวแล้วสำหรับคนไทย

ที่พักของผมคืนนี้พักที่ Candeo Hotel Ueno-koen ซึ่งจะอยู่ใกล้สถานี JR Uguisudani เป็นสถานีที่ถัดจาก JR Ueno สถานีเดียว

เส้นทางของรถไฟ JR Yamanote line จะวิ่งเป็นวงกลม มีทั้งวนตามเข็ม และวนทวนเข็มนาฬิกา ผ่านสถานีใหญ่ และสถานที่สำคัญหลายแห่งเช่น Shinjuku, Harajuku, Tokyo, Akihabara, Ueno ก่อนที่จะขึ้นรถไฟลองนับสถานีดูก่อนครับว่าวนไปทางไหนจะใกล้กว่า

ผมนั่งรถไฟไปลงที่ JR Uguisudani แล้วออกทาง South Exit โรงแรมอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟมาก สามารถมองเห็นตัวโรงแรมได้จากสถานีเลย การเดินทางไปโรงแรม Candeo Hotel Ueno-koen เมื่อออกทาง South Exit แล้วให้เดินไปทางซ้ายข้ามสะพานทางรถไฟเดินตรงไปจนเจอ 3 แยก ให้เลี้ยวซ้าย เดินตรงไปอีกประมาณ 100 เมตรจะเจอ โรงแรม Candeo Hotel Ueno-koen อยู่ทางซ้ายมือมีป้ายบอกชัดเจน

Candeo Hotel Ueno-koen

เป็น Business hotel ระดับ 3 ดาว มีห้องพักทั้งหมด 268 ห้อง อยู่ในทำเล Ueno ไปไหนมาไหนสะดวก ราคาห้องพักในคืนแรก 2,407 บาท จองผ่าน agoda ตัวโรงแรมตกแต่งสวย เพิ่งจะเปิดไม่นาน ยังดูใหม่อยู่เลยครับ ทัวร์ดังๆ หลายที่ก็นิยมมาพักที่โรงแรมนี้

Link. เช็คราคาโรงแรม Candeo Hotel Ueno-koen , รีวิวโรงแรม Candeo

Lobby ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 2

การ check in ก็เพียงยื่น Hotel Voucher พร้อม Passport ให้พนักงาน แล้วก็เซ็นเอกสารการเข้าพักอีกนิดหน่อย เท่านี้ก็เสร็จ ไม่มีค่ามัดจำ

บริเวณ Lobby สามารถเล่น wifi ได้ฟรี สามารถขอ Password ได้กับพนักงาน แต่ในส่วนของห้องพัก wifi ไปไม่ถึง แต่เห็นเค้ามีสาย LAN ให้บนโต๊ะทำงาน แสดงว่าใช้สาย LAN เล่นได้

พนักงานบอกกับเราว่าของตรงนี้ให้หยิบไปได้เลย ฟรี ก็มีชาเขียว ยางรัดผม คอตตอนบัด ใยขัดตัว หวี มีดโกนหนวด

ทางเดินหน้าห้องก็ทำดูดี ใหม่สะอาด

พวงกุญแจห้องต้องนำไปเสียบแบบนี้ครับ ไฟถึงจะติด

เข้ามาในห้อง ขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ มีโต๊ะทำงาน สาย LAN โทรศัพท์ TV กาต้มน้ำ ไดร์เป่าผม และตู้เย็น

ในห้องมีเครื่องปรับอากาศที่เป็นได้ทั้ง Air และ Heater ในตัวเดียวกัน ญี่ปุ่นหน้าร้อนก็ร้อนเหมือนบ้านเราครับ แต่เวลาหนาวก็หนาว หิมะตกเลยทีเดียว เลยจำเป็นต้องมีทั้ง Air และ Heater

ในตู้เย็นว่างเปล่า ไม่มีน้ำให้ คนญี่ปุ่นเค้าดื่มน้ำจากก๊อกเอาครับ แต่คนบ้านเราไม่คุ้น ยังไงก็ขอกินน้ำดื่มเป็นขวดดีกว่า

ในห้องจะไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่จะมีที่แขวนผ้าให้แทน

เข้ามาดูในห้องน้ำกันบ้าง สภาพใหม่มากๆ ห้องน้ำในญี่ปุ่นเหมือนเค้าจะยกชุดมาวางเลย ตั้งแต่ฝาผนัง อ่างล้างหน้า ชักโครก อ่างอาบน้ำ ไม่ได้ใช้กระเบื้องปูเหมือนบ้านเรา ผมคิดว่าค่าแรงเค้าคงแพง และแบบนี้ดูแล ทำความสะอาดง่ายกว่าปูกระเบื้อง สร้างได้เร็วกว่า

ชักโครกอัตโนมัติแบบญี่ปุ่น

ในห้องน้ำก็จะมีอ่างล้างหน้า โฟมล้างมือ แก้วน้ำ 2 ใบ อ่างอาบน้ำ และที่ชอบสุดๆ คือชักโครกอัตโนมัติตัวนี้ครับ ทันทีที่เรานั่งลงไปชักโครกจะปล่อยน้ำมาล้างชักโครกให้ก่อนทีนึง

สำหรับปุ่มต่างๆ ทำหน้าที่ดังนี้ครับ โดยเริ่มจากซ้ายก่อน

– ลูกบิดวงกลม ไว้ปรับความแรงของน้ำ

– ปุ่มสีชมพู สำหรับคุณผู้หญิงเวลาปัสสาวะเสร็จ กดทีเดียวจะปล่อยน้ำค้างไว้ตลอด

– ปุ่มสีฟ้า ใช้ล้างก้นหลังจากถ่ายหนักเสร็จ กดทีเดียวจะปล่อยน้ำค้างไว้ตลอด

– ปุ่มสีส้ม กดหยุดน้ำ

จากที่ได้ลองใช้งานดู พบว่ามัน work มากๆ ครับฉีดตรงตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ ดีกว่าสายชำระแบบบ้านเรา ห้องน้ำไม่เลอะเทอะ บางรุ่นมีระบบน้ำร้อน น้ำเย็น มีอุ่นฝารองนั่งให้ด้วย ญี่ปุ่นเค้าช่างคิดจริงๆ

ที่อ่างอาบน้ำก็มีแชมพูสระผม Conditioner สบู่อาบน้ำ ของที่ใช้ก็คุณภาพดีนะครับ

ถ้าอยากดูรีวิวโรงแรม Candeo แบบเต็มๆ คลิกดูต่อที่หน้านี้เลยครับ รีวิวโรงแรม Candeo

เก็บของเสร็จ ก็มืดแล้ว ญี่ปุ่นในช่วงหน้าหนาวมืดเร็วครับ พระอาทิตย์ตกดินตอน 16.30 น.

ที่ชั้นล่างของโรงแรมเป็นซุปเปอร์มาเก็ต แม่บ้านญี่ปุ่นนิยมมาซื้อของกันครับ ของที่ขายก็เน้นไปทางวัตถุดิบมากกว่า เช่นเครื่องปรุง เส้น ข้าวสาร พวกเครื่องดื่มเหล้า เบียร์ ก็มีขาย หลากหลายด้วย คนญี่ปุ่นเค้าก็ชอบดื่มเบียร์กันครับ

มื้อแรกที่ญี่ปุ่นกินราเมงไป กินง่ายๆ จะได้กลับมาแพคกระเป๋าไปโอซาก้าในวันรุ่งขึ้น ชามนี้ 490 เยนเท่านั้น หรือตีเป็นเงินไทย 157 บาท ค่าอาหารญี่ปุ่นไม่ได้แพงอย่างที่คิด แต่ที่แพงมากๆ ก็จะเป็นค่าเดินทาง คืนแรกในญี่ปุ่นจะจบเพียงเท่านี้ครับ เดี๋ยวตอนต่อไป จะพานั่ง Shinkansen รถไฟความเร็วสูงไปเที่ยวโอซาก้ากัน

อ่านตอนต่อไป –> นั่ง Shinkansen เที่ยวโอซาก้า ปราสาทโอซาก้า ป้ายไฟกูลิโก๊ะ โดทงโบริ

วันที่ 1: เดินทางกรุงเทพฯ – โตเกียว A380 การบินไทย นอนโตเกียว
วันที่ 3: เที่ยวนารา เมืองแห่งกวาง ดูใบไม้เปลี่ยนสี นอนโอซาก้า ไปเช้า-เย็นกลับ
วันที่ 4-5: เที่ยวเกียวโต ชมศาลเจ้า วัดเก่า ใบไม้เปลี่ยนสี
วันที่ 6: นั่ง Shinkansen กลับโตเกียว เที่ยวโอไดบะ โตเกียว
วันที่ 7: เที่ยว Kawaguchiko ดูภูเขาไฟฟูจิ ใบไม้เปลี่ยนสี ไปเช้า-เย็นกลับ
วันที่ 8: เที่ยว Nikko เมืองแห่งมรดกโลก สุสานโชกุน นอนโตเกียว ไปเช้า-เย็นกลับ
วันที่ 9: เที่ยว Mitake ตามรอยละคร “ข้างหลังภาพ” ดูใบไม้แดง
วันที่ 11: ชิบูย่า รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ ซื้อของฝากในสนามบิน บินกลับไทย
สรุปค่าใช้จ่ายเที่ยวญี่ปุ่น 11 วัน ค่าเครื่องบิน โรงแรม อาหาร ค่าเดินทาง ฯลฯ

Post Views 98703

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

162 thoughts on “รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น 11 วัน บิน A380 การบินไทย นั่งรถไฟจากสนามบิน Narita เข้า Tokyo

  • September 1, 2014 at 11:30 am
    Permalink

    ตอบคุณ modtanoiz

    สวัสดีค่ะ admin รบกวนสอบถามหน่อยะนะค่า
    จองตั๋วไป 1/11โตเกียว (ถึง 15.50) กลับจาก โอซาก้า 9/11(เที่ยงคืน) [8 วัน 7 คืน]
    แพลนทริปคือ
    1/11 คงเดินเล่นแถวที่พักค่ะ (อาจจะเป็น ชินจูกุ)
    2/11 ไปย่าน asakusa/ueno/ginza
    3/11 มี 2 ความคิดคือ เที่ยวในโตเกียวอีกวัน ตามแหล่งช๊อปปิ้ง และ imperial palace ส่วนอีกความคิดคือ อยากไป nikko 1 วันไปเช้า-เย็นกลับ
    คำถามแรกคือ แหล่งช๊อป/พระราชวัง/ศาลเมจิ เอาไปยัดวันที่2 ได้มั๊ยค่า หรือตัดทริปไหนดี

    – แหล่งช๊อป/พระราชวัง/ศาลเมจิ สามารถเอาไปใส่วันที่ 2 ได้เลยครับ แนะนำให้ซื้อบัตรโดยสาร Tokyo Metro 1-Day Open Ticket 710 เยน สามารถนั่งรถไฟ Tokyo Metro ได้ทั้งวันครับ

    คำถาม 2 ไปnikko ถามว่ามีวิธี nikko ควรไปเที่ยวที่ไหน เดินทางยังไงไป JR /BUS ดี

    – วันที่ 3 ก็ไป Nikko แทน อยากให้ไป Nikko เพราะเป็นช่วงใบไม้แดงพอดี เป็นโอกาสเดียวในทริปนี้ที่จะได้เห็นใบไม้แดง สวยงามมากครับ แนะนำให้ซื้อบัตรโดยสาร 2 DAY NIKKO PASS 2,670 เยน ถึงแม้จะไปวันเดียวก็ตาม

    4/11 กะไป kawaguchiko ค่ะ แต่กำลังคิดว่าไป เช้า-เย็นกลับด้วย bus หรือควรค้างซักคืนดี (พี่สาวขี้เกียจแบกของ แต่เราอยากนอนค่ะ)

    – แนะนำให้ไปค้างครับ เพราะการไปเช้าไปเย็นกลับก็มีความเสี่ยงที่จะไม่เห็นฟูจิแบบเต็มๆ ขึ้นกับดวงเลยครับ ถ้าวันนั้นมีเมฆเยอะก็อด และอีกอย่าง kawaguchiko เป็นทางผ่านไปยังโอซาก้าได้ ไม่ต้องย้อนมาโตเกียวอีกรอบ

    คำถามที่ 3 เดินทางไป คาวากูชิโกะ ควรไปด้วย bus หรือ JR ดีกว่ากัน

    – ควรไปด้วย Bus ครับ ประหยัดกว่ารถไฟ อย่าลืมซื้อตั๋วล่วงหน้าด้วย

    คำถามที่ 4 หากพักที่ คาวากูชิโกะ จะเดินทางต่อไป โอซาก้า ต้องไปขึ้น ชินคันเซ็น ที่ไหน หรือมีวิธีไหนที่สะดวกกว่านี้มั้ยค่ะ

    – มีรถ Night bus ของ บ. Fujikyu Experssway Bus ให้บริการ รถออกจากสถานีรถไฟ Kawaguchiko เวลา 20.52 น. ถึงเกียวโตเวลา 5.57 น. และโอซาก้า 6.53 น. ค่าโดยสารไปเกียวโต 6,700 เยน และ โอซาก้า 7,200 เยน

    ไม่แนะนำไปทางรถไฟนะครับ เพราะรถไฟต้องมาต่อที่โตเกียว อ้อมครับ

    5/11 คงเที่ยว โอซาก้า ปราสาทโอซาก้า ป้ายไฟค่ะ
    6/11 ไปเกียวโต
    7/11 ไปนารา
    8/11 อยู่เก็บ โอซาก้าอีกซักวัน
    (ยังไม่มีแพลนของโอซาก้าเท่าไหร่เลย รบกวนแนะนำหน่อยนะค่ะ)

    – ปราสาทโอซาก้า, วัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple), Osaka Bay, Umeda ชิงช้าสวรรค์, โดทงโบริ (Dotonbori) ป้ายไฟกูลิโกะยักษ์

    ผมแนะนำให้ไปเกียวโต 2 วันดีกว่าครับ โอซาก้าวันเดียวพอ เกียวโตวัดสวยๆ เยอะ

    คำถามที่ 5 ควรซื้อ JR pass ดีมั๊ยค่ะ ถ้าหาซื้อ ไป 8 วัน ควรเปิดใช้วันไหนดี

    – ไม่จำเป็นครับ ใช้ไม่คุ้ม ซื้อพวก One day pass, Zone pass หรือตั๋วเป็นเที่ยวๆ คุ้มกว่าครับ

  • September 1, 2014 at 11:45 am
    Permalink

    ตอบคุณ Daranee

    ก่อนอี่นขอชี่นชมการนำประสบการณํและคำแนะนำดีๆ ของคุณอย่างจริงใจที่สุดคะ
    เพิ่งจองตั๋วบินกับโรงแรมเสร็จอย่างมึนๆ เพราะต้องเร่งกับเวลาที่ห้องว่างโรงแรมงวดลงไปทุกทีก่อนที่จะศึกษาอะไรอย่างถี่ถ้วน

    ยินดีครับที่ได้แบ่งบันประสบการณ์ของผมให้กับคนที่สนใจไปเที่ยวเอง 🙂

    -เดินทาง 2 คน 11/21 -12/4/14 13 คีน 14 วัน with airasia ตั๋วถูกมาก $790/2 ตั๋ว
    -ถึง Kansai 22:40 pm. แก่แล้วต้องนอนค้าง Kansai Nikko Hotel 1 คีน

    .พัก Osaka 7 คีน หาโรงแรมเตียงคู่ไม่ได้ ต้องจองห้องเดี่ยว 2 ห้องแทน เพราะเตียงdouble นั้นดูเล็กมากเหลีอเกิน คีอถ้านอนไม่พอ จะเพลียจนเที่ยวไม่สนุก

    .นั่ง Shinkunsen เข้า Tokyo
    -พัก Tokyo 4 คีน แถว Ueno รร ที่่คุณแนะนำเต็มค่ะ ได้ใกล้ที่สุดที่ Chisun Hotel ได้เตียง twin เป็นใช้ได้

    .พัก Narita RestHouse 1 คีน เพื่อออกเดินทางเช้าวันรุ่งขึ้น

    พลาดไปหน่อยค่ะ ลีมจองโรงแรมที่จะไปดูฟูจิด้วย ที่ Kawaguchiko อาจต้องเสียค่าห้องที่โตเกียวไป 1 คีน เพราะลองเปลี่ยนแล้วไม่ได้ หรือไม่ต้องไปดูฟูจิเช้าเย็นกลับจากโตเกียวแทน ถ้าไปจากโอซากา จะไกลเกินไปไหมคะ

    – จาก Osaka ไป Kawaguchiko เท่าที่ผมทราบจะเป็น Night Bus นะครับ วิ่งตอนกลางคืน ถ้าเป็นคนหลับยาก อาจไม่สะดวกครับ แนะนำเป็น One day trip จากโตเกียวครับ เดินทางสบายๆ ไม่เหนื่อย

    อยากจะเรียนว่า สามีเข่าไม่ดี เดินสมบุกสมบันมากไม่ได้ ไปเที่ยวไหนที ก็ออกสาย กลับเช้ากว่าชาวบ้านเค้า คือเอาสบายๆ ไม่เร่งรีบนะคะ ไม่ช๊อบคะ เดินดูผ่านๆ ก็พอ อยากไปดูที่เค้าอยู่อย่างชาวบ้าน ร้านรวงเล็กๆ ที่แสดงความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ มากกว่า ตั้งใจจะไปตามที่คุณไปมา แต่กลับหัวหางกันหน่อย อาจตัดบางอย่างบ้างเท่านั้น

    วางโปรแกรมหลวมๆ ครับ ช่วงนั้นอากาศดี เดินได้สบายๆ

    จะขอคำแนะนำตามแต่เห็นสมควรคะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับน้ำใจของคุณที่มีให้กับทุกๆ คน.
    ดารณี

    ติดขัดตรงไหนถามได้เลยครับ ด้วยความยินดีครับ 🙂

  • September 1, 2014 at 1:23 pm
    Permalink

    ขอบคุณ admin สำหรับคำแนะนำอย่างละเอียด
    เดี๋ยวจะกลับไปศึกษา pass ต่างๆตามที่แนะนำนะค๊าาาาา

    ขอบคุณมากๆค๊าาาา

  • September 2, 2014 at 11:42 am
    Permalink

    สวัสดีค่ะ
    ไม่เคยไปเที่ยวเอง มีแต่ไปกับทัวร์ค่ะ พอจะไปเองเลยอ่านรีวิวเยอะมาก เกิดความสับสนเลยทีนี้
    เลยมีข้อสงสัย รบกวนสอบถามค่ะ
    จะเดินทางจากสนามบิน นาริตะ ไป สถานี Ueno โดย Keisei Limited Express
    – สามารถนั่งจากสนามบิน Terminal 1 หรือ 2 ค่ะ
    – และสามารถนั่งยาวโดยไม่ต้องต่อรถ/สถานีอื่นอีกใช่มั๊ยค่ะ (พอดีอ่านเจอในหลายๆ รีวิว เห็นต่อรถขบวนอื่นอีกเลย งง หรือว่าอ่านรีวิวผิด แฮร่)
    – อ่านในรีวิวให้ระวังนั่งขบวนผิดเป็น local จะสังเกตที่ตรงไหนค่ะว่าเป็น Keisei Limited Express ขบวนที่เราจะขึ้น //ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ

  • September 2, 2014 at 7:28 pm
    Permalink

    จะเดินทางจากสนามบิน นาริตะ ไป สถานี Ueno โดย Keisei Limited Express
    – สามารถนั่งจากสนามบิน Terminal 1 หรือ 2 ค่ะ

    นั่งได้ทั้ง 2 Terminal เลยครับ

    – และสามารถนั่งยาวโดยไม่ต้องต่อรถ/สถานีอื่นอีกใช่มั๊ยค่ะ (พอดีอ่านเจอในหลายๆ รีวิว เห็นต่อรถขบวนอื่นอีกเลย งง หรือว่าอ่านรีวิวผิด แฮร่)

    ไม่ต้องต่อรถไฟครับ ยาวๆ ถึง Ueno เลย

    – อ่านในรีวิวให้ระวังนั่งขบวนผิดเป็น local จะสังเกตที่ตรงไหนค่ะว่าเป็น Keisei Limited Express ขบวนที่เราจะขึ้น //ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ

    1. จะมีป้ายไฟบอกว่า Keisei Limited Express อยู่ Track ไหน ดูเวลากับ Track ให้ตรงกันก็พอครับ
    2. ข้างตัวรถก็มีป้ายบอกครับ

    ยินดีครับผม 🙂

  • September 2, 2014 at 7:30 pm
    Permalink

    ตอบคุณ modtanoiz

    ยินดีคร้าบบบ 🙂

  • September 3, 2014 at 3:09 am
    Permalink

    ดีใจและขอบคุณนะคะที่ตอบกลับมาให้ คงไม่ว่าอะไรถ้าจะส่งคำถามมาเป็นระยะๆ ตอนนี้กำลังจัดวันเวลาที่เที่ยวให้ลงตัวอยู่ เสร็จเมื่อไหร่จะส่งมาให้คุณช่วยกรุณาแนะนำ โยกย้าย สับเปลี่ยน ให้ด้วยนะคะ
    นับถีอยิ่ง
    ดารณี

  • September 3, 2014 at 8:01 am
    Permalink

    ตอบคุณ Daranee Lin

    Plan ลงตัวเมื่อไหร่ส่งมาให้ดูได้เลยคร้าบบ 🙂

  • September 3, 2014 at 7:17 pm
    Permalink

    รบกวนขอเมลล์คุณ admin หน่อยได้มั้ยค่ะ อยากจะให้ช่วยดู plan ให้หน่อยค่ะ ว่าแบบนี้ดีมั้ย

  • September 5, 2014 at 11:17 pm
    Permalink

    ส่ง plan ไปทางอีเมล รบกวนคุณ admin ช่วยตรวจและให้คำแนะนำหน่อยค่ะ
    ขอบคุณนะคะ

  • September 9, 2014 at 8:36 pm
    Permalink

    รบกวนคุณ admin หน่อยค่ะ
    พอดีจะปรับแผนใหม่
    เป็นเที่ยวเกียวโต 2 วัน
    นารา 1 วัน
    โอซาก้า 1 วัน

    อยากสอบถามว่าควรจะพักที่ไหนดีค่ะ ระหว่าง
    โอซาก้า(พักที่ Osaka Hana Hostel ใกล้กับ Shinsaibashi sta.) กับ
    เกียวโต (พักที่ Backpacker’s Ryokan Budget Inn ใกล้กับ JR Kyoto Train Station)

    ขอบคุณค่ะ

  • September 9, 2014 at 9:44 pm
    Permalink

    ตอบคุณ ฺBen

    ดูจากสไตล์ที่พัก ดูคล้ายๆ กันเลยครับ สไตล์ญี่่ปุ่นแท้ๆ

    ถ้าให้ผมเลือกคงขอพักที่ Osaka Hana Hostel ดีกว่าครับ เพราะโอซาก้าเป็นศูนย์กลางระหว่างเกี่ยวโตและนารา จะได้เดินทางไม่นาน

    แต่คุณ ฺBen จะเลือกอันไหนก็ได้ครับ เพราะข้อดี ข้อเสียก็พอหักล้างกันได้ทั้งคู่

  • September 15, 2014 at 10:36 pm
    Permalink

    รบกวน admin ด้วยคะ พอดีจะไปช่วง 31 ตค-8 พย เมืองไหนจะได้เห็นใบไม้แดงสวยๆบ้างคะ พอดีอ่านจากหลายที่เป็นค่าประมาณหมดเลย กลัวจะพลาดอ่าคะ แล้วจะไปโอซาก้าด้วยจะไปช่วงแรกของทริปจะพลาดใบไม้แดงรึเปล่าคะ

  • September 15, 2014 at 10:49 pm
    Permalink

    ตอบคุณ JiBby

    ใบไม้แดงในช่วง 31 ตค-8 พย ก็มี

    – Nikko โซนมรดกโลก (ศาลเจ้า, สุสานโชกุน, สะพานแดงชินเคียว)
    – Kawaguchiko
    – ปกติใบไม้แดงจะไล่มาจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ แนะนำให้หาเมืองเหนือโตเกียวขึ้นไปดูครับ

    ส่วนโอซากา เกียวโต ปกติจะแดง 20-30 พ.ย. ครับ ผมคิดว่าช่วงที่คุณ JiBby ไปยังไงก็ไม่แดง

  • September 21, 2014 at 3:00 pm
    Permalink

    รบกวนสอบถาม admin หน่อยนะคะ
    วางแผนไป Nikko วันที่ 4 พย. ค่ะ
    หาข้อมูลมาบางคนบอกว่า แถบทะเลสาบ chuzenji ใบไม้แดงจะร่วงไปหมดแล้ว
    (เศร้าเลยค่ะ) แต่ยังอยากไปอยู่ดี
    ส่วนโซนมรดกโลก จะแดงก็ช่วง กลาง พย.
    อย่างงี้ ต้น พย. ที่จะไปเที่ยวยังพอมีโอกาศได้เห็นใบไม้แดงอยู่มั๊ยค่ะ

    แพลนที่วางไว้คือ
    ออกจะ asakusa ด้วย tobu-nikko rapid ไม่รอบแรกก็รอบที่ 2 ค่ะ (ไม่มี JR)
    จากนั้นคงไปขึ้น ropeway ต่อด้วย ไป kegon fall และ lake chuzenji
    แล้วลงมาโซนมรดกโลก อาจะไปแค่วัดรินโนจิกับสะพานชิงเคียว (กลัวกลับไม่ทัน)

    สอบถาม admin ว่าไปเที่ยวช่วชนี้ยังจะเห็นใบไม้แดงมั๊ยค่ะ
    แล้วก็เที่ยว 2 โซนวันเดียวทันมั๊ยค่ะ
    ถ้าทันควรซื้อ pass อะไรดีค่ะ เป็น all pass (4day) หรือ แค่ world heritage พอ
    ถ้าไม่ทัน ตัดทริปตรงไหนดีกว่ากัน

  • September 21, 2014 at 3:23 pm
    Permalink

    ตอบคุณ modmook

    รบกวนสอบถาม admin หน่อยนะคะ
    วางแผนไป Nikko วันที่ 4 พย. ค่ะ
    หาข้อมูลมาบางคนบอกว่า แถบทะเลสาบ chuzenji ใบไม้แดงจะร่วงไปหมดแล้ว
    (เศร้าเลยค่ะ) แต่ยังอยากไปอยู่ดี
    ส่วนโซนมรดกโลก จะแดงก็ช่วง กลาง พย.
    อย่างงี้ ต้น พย. ที่จะไปเที่ยวยังพอมีโอกาศได้เห็นใบไม้แดงอยู่มั๊ยค่ะ

    – แถวทะเลสาบใบไม้แดงร่วงไปแล้วจริงครับ ส่วนโซนมรดกโลกก็น่าจะมีให้เห็นบ้างนะครับ

    แพลนที่วางไว้คือ
    ออกจะ asakusa ด้วย tobu-nikko rapid ไม่รอบแรกก็รอบที่ 2 ค่ะ (ไม่มี JR)
    จากนั้นคงไปขึ้น ropeway ต่อด้วย ไป kegon fall และ lake chuzenji
    แล้วลงมาโซนมรดกโลก อาจะไปแค่วัดรินโนจิกับสะพานชิงเคียว (กลัวกลับไม่ทัน)

    สอบถาม admin ว่าไปเที่ยวช่วชนี้ยังจะเห็นใบไม้แดงมั๊ยค่ะ
    แล้วก็เที่ยว 2 โซนวันเดียวทันมั๊ยค่ะ
    ถ้าทันควรซื้อ pass อะไรดีค่ะ เป็น all pass (4day) หรือ แค่ world heritage พอ
    ถ้าไม่ทัน ตัดทริปตรงไหนดีกว่ากัน

    – คิดว่าได้เห็นครับ แต่มากน้อยตอบไม่ได้ครับ ขึ้นกับอากาศและดวงล้วนๆ เลย ถ้าเที่ยวตามแพลนที่ว่ามาน่าจะเที่ยวหมดนะครับ

    แนะนำให้ซื้อบัตร 2 DAY NIKKO PASS บัตรโดยสารชนิดรวมการเดินทางจากโตเกียวไปจนถึงนิกโก้ ครอบคลุมพื้นที่นิกโก้ ราคา. ผู้ใหญ่ 4,520 เยน, เด็ก 2,280 เยน

  • September 28, 2014 at 8:56 am
    Permalink

    เดินทาง 10-22 ตค.กทม-.นาโกย่า-กทม.
    ขอคำแนะนำแผนการเดินทางที่กินเที่ยวที่พักด้วยค่ะ
    สมาชิก 4 คน แบบประหยัดสุดๆเน้นถ่ายรูปค่ะ
    ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
    พัศณี

  • September 29, 2014 at 10:49 pm
    Permalink

    เดินทางไปญี่ปุ่น ถึงโอซาก้า 1 ม.ค. 58 ตอนแปดโมงเช่า มีเวลาสองคืน กรุณาแนะนำสถานที่เที่ยว และที่พักหน่อยค่ะ ที่อยากไปคือ ล่องเรือ เที่ยวตลาดปลา นั่งชิงช้า ชอปปิ้ง รบกวนช่วยแนะนำด้วยค่ะ

  • October 2, 2014 at 10:13 am
    Permalink

    ตอบคุณ พัศณี วงศ์จันทร์

    ขออภัยด้วยครับ ผมไม่เคยไปนาโกย่าครับ T_T

  • October 2, 2014 at 4:49 pm
    Permalink

    พักที่ ซากุระอาซากุสะโฮสเทล ควรนั่งรถไฟอย่างไรไปสนามบินนาริตะ ถึงจะสะดวกที่สุดและราคาไม่แพงค่ะ

  • October 2, 2014 at 5:07 pm
    Permalink

    ตอบคุณ lady

    ตามนี้เลยครับ ASAKUSA(TOBU/SUBWAY) –> OSHIAGE –> AOTO — (Keisei Ltd. Exp)–> NARITA AIRPORT ใช้เวลาประมาณ 77 นาที ค่าโดยสาร 1,100 เยนครับ

  • October 3, 2014 at 11:57 am
    Permalink

    เดินทางกลับวันที่ 2 พ.ย. 2014 สายการบินแอร์เอเซีย เครื่องบินออกจากสนามบินนาริตะเวลา
    09.15 น.
    ลองค้นหาตารางเดินรถไฟจาก เว็บ HYPERDIA.COM/EN/ แล้วไม่พบเส้นทางที่คุณบอก
    อยากทราบตารางเวลาเดินทางของรถไฟ ค่ะ ว่าเวลาไหนถึงจะไปสนามบินนาริตะทันออก บอร์ดดิ้งพาส

    และข้อมูลตามที่คุณบอกต้องซื้อตั๋วที่ไหนอย่างไร ต้อง TRANSFER รถไฟกี่ครั้งค่ะ

    ขอบคุณค่ะ

  • October 3, 2014 at 2:23 pm
    Permalink

    ตอบคุณ lady

    ผมลองค้นหาด้วย Hyperdia แสดงผลออกมาตามนี้ครับ

    ก็ขึ้นที่สถานี Asakusa ซื้อตั๋วก็ที่สถานีเลยครับ หรือกับตู้อัตโนมัติก็ได้ ใน pantip ก็พูดถึงรถไฟสายนี้อยู่พอดี เค้าบอกว่ารอบที่มีสามเหลี่ยมซ้อนกันไม่ต้อง transfer ครับ ถ้ามีของเยอะแนะนำให้ไปขึ้นที่ Ueno จะดีกว่าครับ (Keisei Limited Express) เป็นต้นสายได้นั่งแน่นอน

    ข้อมูลเพิ่มเติมครับ

    http://pantip.com/topic/32655362
    http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/us/directions/asakusa.html

  • October 3, 2014 at 3:00 pm
    Permalink

    ตอบคุณ nureeman doloh

    เดินทางไปญี่ปุ่น ถึงโอซาก้า 1 ม.ค. 58 ตอนแปดโมงเช่า มีเวลาสองคืน กรุณาแนะนำสถานที่เที่ยว และที่พักหน่อยค่ะ ที่อยากไปคือ ล่องเรือ เที่ยวตลาดปลา นั่งชิงช้า ชอปปิ้ง รบกวนช่วยแนะนำด้วยค่ะ

    – น่าจะวางโปรแกรมประมาณนี้ครับ

    วันที่ 1
    – เข้าโรงแรม ฝากกระเป๋า
    – ปราสาทโอซาก้า
    – อุเมดะ Hep five ชอปปิ้ง ชิงช้าสวรรค์
    – นัมบะ ชอปปิ้ง ดูไฟป้ายกูลิโกะ

    วันที่ 2
    – ตลาดปลา
    – ไปเกียวโต Arashiyama ล่องเรือ
    – เที่ยวเกียวโต
    – กลับโอซาก้า
    – Tempozan Market Place + ชิงช้าสวรรค์

  • October 3, 2014 at 3:48 pm
    Permalink

    ขอบคุณค่ะ เดิมทีก็หาได้ตามที่คุณส่งมาแต่ดูแล้วไม่เข้าใจว่าต้อง TRANSFER หรือไม่
    แล้วก็เป็น ACCESS EXPRESS ไม่ได้เป็น Keisei Main Line เลยไม่แน่ใจว่าแบบไหนดีกว่ากันค่ะ

  • October 25, 2014 at 12:12 pm
    Permalink

    ขอบคุณสำหรับการรีวิวนะครับ
    รีวิวได้ละเอียดเยี่ยมยอดจริงๆเลยครับ จะขอตามรอยไปด้วยคนนะครับ

  • October 25, 2014 at 12:32 pm
    Permalink

    ตอบคุณ jv

    ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ญี่ปุ่นไปเที่ยวเองได้ไม่ยาก ตามรอยไปได้เลยคร้าบ ^^

  • October 29, 2014 at 6:52 pm
    Permalink

    รบกวนสอบถามค่ะ จาก kawaguchiko ไป Osaka มีทางไหนที่จะไม่อ้อมผ่าน Tokyo ไหมคะ (ใช้รถไฟนะคะ) เราลองเสิช hyperdia เจอแต่ไปอ้อมที่สถานี Tokyo หมดเลยค่ะ

  • October 29, 2014 at 10:00 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Mayrayaki

    ลองดูเส้นทางนี้นะครับ ต่อรถไฟกันสนุกสนานเลย ใช้เวลา พอๆ กับ kawaguchiko –> Tokyo –> Osaka เลย ทั้งๆ ที่เส้นทางก็ใกล้กว่า

  • October 29, 2014 at 10:18 pm
    Permalink

    ขอบคุณมากค่ะ ที่ช่วยแนะนำเส้นทาง ยังไงถ้ามีข้อสงสัยอีกจะถามเพิ่มเติมนะคะ
    Ps. Reviewเป็นประโยชน์มากๆค่ะ

  • October 29, 2014 at 11:51 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Mayrayaki

    ยินดีครับ ^^

  • November 10, 2014 at 9:12 pm
    Permalink

    ขอบคุณนะคะที่ช่วยรีวิวให้อยากถามด้วยว่าค่าเครื่องบินที่ลงเป็นแบบไปกลับหรือเที่ยวเดียวคะ

  • November 10, 2014 at 9:37 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Gh

    ราคาแบบไป-กลับครับ 🙂

  • November 12, 2014 at 2:43 pm
    Permalink

    อยากไปเองคะ แต่พอศึกษาการเดินทางแล้ว งงกับการเดินทางโดยรถไฟมาก มันยุ่งไปหมด กลัวจะไปไม่ได้
    จัง ต้องศึกษายังไงดี ตอนนี้รู้สึกท้อคะ งงกลัวไปหมด
    ช่วยตอบด้วยนะคะ

  • November 12, 2014 at 3:27 pm
    Permalink

    สวัสดีค่ะ Admin จะรบกวนช่วยตรวจทริปญี่ปุ่นที่วางแผนไว้ได้ไหมคะ ถ้าวางแผนประมาณนี้จะรอดไหมคะ >_<
    ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ -/\-

    Draft Schedule: Japan 5 – 14 Mar 2014
    Day 1
    1. BKK – Narita Airport – Tokyo
    2. เข้า Tokyo นอน ย่าน Ueno
    3. ตลาด Ameyoko และ Ueno Park ย่าน Ueno

    Day 2 – เที่ยว Osaka
    1. Check out hotel ไป Osaka
    2. เที่ยวใน Osaka
    – Osaka Castle
    – Osaka Museum of Housing and Living
    – Hepfive Ferris Wheel (open 11.00 – 10.45pm) ย่าน Umeda
    – อาคารสัญลักษณ์ Shin Umeda City เที่ยว Floating Garden Observatory – ย่าน Umeda

    Day 3 – เที่ยว Nara
    1. เริ่มต้นสถานี Shin Osaka นั่งรถไฟไป Nara
    2. เที่ยว Nara
    – วัดโทไดจิ (ที่มีกวางเยอะๆ)
    – วัดโคฟุกุจิ
    _ หมู่บ้านนินจาฮาโตรี
    _ ศาลเจ้าคาสุงะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine)
    3. กลับเข้า Osaka เดินย่าน Dotombori
    – ถ่ายป้ายกูลิโกะ
    _ ปูยักษ์

    Day 4 (8 Mar) – เที่ยว Kyoto
    1. เริ่มต้นสถานี Shin Osaka นั่งรถไฟไป Kyoto
    2. นั่งรถไฟสายโรแมนติค Sagano Scenic Railway (แบบย้อนกลับ Kameoka Torokko – Saga Torokko )
    3. ป่าไผ่ วัดเทนเรียวจิ / วัดคิโยมิซุ (วัดน้ำใส)/ วัดคินคะคุจิ (วัดทอง หรือ วัดอิคคิวซัง)
    3. กลับมานอน Osaka

    Day 5 – เที่ยว Universal Studio Japan
    1. เริ่มต้นสถานี Shin Osaka นั่งรถไฟไป Universal เน้นเที่ยว Harry Potter Zone
    2. กลับมานอน Osaka

    Day 6 – ดู Mt. Fuji @ Kawagujiko Lake
    1. เริ่มต้นสถานี Shin Osaka ไป Kawagujiko Station (ได้ไหมคะ ยังไม่แน่ใจ)
    2. นั่ง Kawagujiko retro bus ชมวิว Mt.Fuji – Lake Kawagujiko
    3. Check in hotel ที่ Kawagujiko

    Day 7 – เที่ยวโตเกียว
    1. Check out hotel ออกเดินทางไป Tokyo
    2. เดินเที่ยวรอบ ๆ พระราชวังอิมพีเรียล
    3. ชมโตเกียวทาวเวอร์เก่า
    4. เดินเที่ยวย่านชิบูย่า (Landmark สี่แยกใหญ่ร้านกาแฟสตาร์บัค / อนุสาวรีย์หมาฮาจิโกะ
    5. นอนโตเกียว

    Day 8 – เที่ยว Nikko
    1. ตั้งต้นรถไฟไป Nikko เมืองมรดกโลก สุสานโชกุน
    2. นอนโตเกียว

    Day 9 – เที่ยวโตเกียว
    1. วัดอาซากุสะ
    2. ศาลเจ้าเมจิ
    3. เดินเที่ยว Harajuku (Kiddy Land/snoopy town)
    4. เดินเที่ยวย่านชินจุกุ Sanrio Gift Gate

    Day 10 (14 Mar)
    1. เก็บตก Ueno Park
    2. ตลาดอะเมโยโกะ
    3. Check out hotel
    4. ไปแอร์พอร์ต Narita

    *** อยากไป outlet ด้วยค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่ามีที่ไหนละแวกที่ไปเที่ยวบ้างไหมคะ **

  • November 12, 2014 at 6:58 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Siriporn

    อยากไปเองคะ แต่พอศึกษาการเดินทางแล้ว งงกับการเดินทางโดยรถไฟมาก มันยุ่งไปหมด กลัวจะไปไม่ได้
    จัง ต้องศึกษายังไงดี ตอนนี้รู้สึกท้อคะ งงกลัวไปหมด
    ช่วยตอบด้วยนะคะ

    มือใหม่หัดไปญี่ปุ่นอาจจะงงเรื่องการเดินทาง เพราะรถไฟเค้าเยอะ เต็มไปหมด เรื่องนี้ไม่ยากครับ เราดูที่เราจะไปก็พอ เส้นทางอื่นเราไม่ต้องใส่ใจมัน เท่านี้รถไฟก็ดูน้อยลงแล้ว การเดินทางโดยรถไฟไปนอกเมืองให้ศึกษาจากเวบ http://www.hyperdia.com/ แค่ใส่ต้นทาง ปลายทาง เวลา ก็มีตาตางรถไฟให้เราเลือกแล้วครับ

  • November 12, 2014 at 7:14 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Jaru

    ต้องขอบอกเลยว่าทำการบ้านมาดีมากเลยครับ ผมขอตอบในส่วนที่สงสัยแล้วกันนะครับ

    Day 6 – ดู Mt. Fuji @ Kawagujiko Lake
    1. เริ่มต้นสถานี Shin Osaka ไป Kawagujiko Station (ได้ไหมคะ ยังไม่แน่ใจ)
    – ได้ครับ แต่ต่อรถไฟเยอะมาก และใช้เวลาเยอะ บางทีเข้ามาตั้งต้นใหม่ที่โตเกียวยังดูง่ายกว่าเลย หรือไม่ก็นั่ง (นอน) Night bus จาก Osaka มา Kawaguchiko ประหยัดค่าโรงแรมไปได้ 1 คืน แต่อาจจะลำบากหน่อย

    *** อยากไป outlet ด้วยค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่ามีที่ไหนละแวกที่ไปเที่ยวบ้างไหมคะ **
    – ที่พอไปได้ก็มี Gotemba Premium Outlets โดยเดินทางจาก Kawaguchiko โดยรถบัสไปลง Gotemba Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาทีครับ

  • November 12, 2014 at 10:36 pm
    Permalink

    ขอบคุณมากนะคะ สำหรับคำแนะนำ เรื่องแพลนการเที่ยวส่วนหนึ่งต้องขอขอบคุณรีวิวของ admin ค่ะ มันเป็นรีวิวที่อ่านง่ายและเข้าใจได้ดีเพราะมีภาพประกอบโดยละเอียด … เรื่องแผนวันที่6 อาจจะต้องปรับนิดหน่อยตามคำแนะนำ แต่ใจนึงก็อยากนอนโรงแรมแถว lake kawagujiko เพราะอยากเห็นวิวฟูจิซังนานๆค่ะ

  • November 12, 2014 at 10:42 pm
    Permalink

    (ต่อ)ระหว่างนี้คงต้องศึกษาวิธีการเดินทางไปในแต่ละที่โดยละเอียดอีกที ถ้ามีคำถามอาจต้องรบกวนขอคำแนะนำจาก admin เพิ่มเติม
    ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

  • November 13, 2014 at 6:58 am
    Permalink

    ตอบคุณ Jaru

    ยินดีครับ ^^

  • November 24, 2014 at 3:12 pm
    Permalink

    จากผลการเสริช์ Hyperdia ถึงวิธีการไป Lake Kawaguchiko ดูเหมือนเส้นทางข้างล่างนี้จะ transfer น้อยที่สุดแล้ว (ขอโทษนะคะ แปะรูปในคอมเม้นไม่เป็น ^ ^”)

    เส้นทาง
    Depart – Uguisudani by JR Yamanote Line
    Transfer – Shinjuku(JR)Station ต่อรถไฟ Ltd Exp. Azusa 3
    Transfer – Otsuki Station ต่อรถไฟ Fujikyu Railway
    Arrive – Kawaguchiko Station
    รวมเวลาเดินทาง 149 นาที
    คำถามที่สงสัยจากผลการค้นหา อยากจะรบกวนสอบถาม admin เพิ่อความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะว่า

    1. ในกรณีที่เรามี JR Pass เราสามารถขึ้น JR Yamanote Line ได้เลยโดยไม่ต้องซื้อตั๋วที่สถานีใช่ไหมคะ

    2. ส่วนตอนที่เราต้องไปต่อรถไฟที่สถานีชินจูกุ(JR) เพื่อขึ้นขบวน Ltd Exp. Azusa 3 กับ Fujikyu Railway ทีสถานี Otsuki สองขบวนนี้เราต้องซื้อตั๋วเพิ่มใช่ไหมคะ หรือสามารถใช้ JR Pass ได้ไหมคะ

    3. จากข้อ 2 ถ้าต้องซื้อตั๋วเพิ่ม เราควรซื้อตอนที่ Transfer แต่ละสถานีก่อนขึ้นขบวนใช่ไหมคะ และถ้าในกรณีที่เรามีบัตรเติมเงิน Suica แบบที่ Admin ซื้อไว้ที่สนามบิน จะสะดวกกว่าไหมคะ
    รบกวนช่วยแนะนำด้ยนะคะ ขอบคุณค่ะ

  • November 24, 2014 at 7:34 pm
    Permalink

    ตอบคุณ Jaru

    1. ใช่ครับ

    2. Fujikyu ต้องซื้อตั๋วเพิ่มครับ

    3. ซื้อตั๋ว Fujikyu ที่สถานี Otsuki ครับ คิดว่าใช้ suica ได้ครับ ตอนผมไปผมซื้อเงินสด แนะนำให้อ่านรีวิวดูภูเขาไฟฟูจิที่ผมเขียนไว้ครับ มีรายละเอียดพร้อมรูปภาพครับ

  • November 25, 2014 at 8:51 am
    Permalink

    ขอบคุณมากค่ะ .. มาเห็นรีวิวภูเขาไฟฟูจิตอนที่ส่งคำถามไปแล้ว เขินจัง >_<

  • January 2, 2015 at 8:37 pm
    Permalink

    สอบถามหน่อยครับจะมีเเผนไปเที่ยวญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 9-16 เมษายน ปีนี้ ลงนาริตะวันที่ 9 ตอน 4 โมงเย็น อยู่ทั้ง 7 คืน 8 วัน เเผนผมคือตามนี้ครับ
    วันที่ 9 พักโรงเเรม Toyoko Inn Tokyo Shinagawa Oimachi
    ไปเที่ยว Ginza เเละ ไป Akihabara
    วันที่ 10 เที่ยว Tokyo ไปตลาดปลา / UENO Park / วัด Asakusa/เที่ยวใน Tokyo Shinjuku
    วันที่ 11 ไป ภูเขาไฟฟูจิ กลับมาพัก โตเกียว
    วันที่ 12 ไป Osaka พัก Shin-Osaka
    วันที่ 13-14 เที่ยว Kyoto เหมือนเเอดมินเลย พัก Shin-Osaka
    วันที่ 15 เก้บตก Tokyo เเล้วไป โอไดบะ ไป Yokohama ดีมั้ยครับ
    วันที่ 16 ซื้อของฝาก เครื่องออก 1730 น.

    คำถามที่อยากได้คำเเนะนำนะครับ

    ช่วยเเนะนำที่เที่ยวที่ โตเกียวด้วยครับ
    วันที่ 11 ผมควรจะกลับมาพักโตเกียว หรือ ไปนอน shin-osaka เลยดีกว่า
    Osaka 1 วัน เที่ยวที่ไหนดีครับ เห็น admin เที่ยว 2 วันอะครับ อยากได้ที่ที่สำคัญๆก็พอครับ
    วันที่กลับจาก Kyoto ไป Tokyo ผมนั่งรถบัสตอนกลางคืนดีกว่ามั้ยครับ ผมจะประหยัดค่าห้องไป 1 คืน

  • January 2, 2015 at 8:59 pm
    Permalink

    ตอบคุณเจริญ

    ช่วยเเนะนำที่เที่ยวที่ โตเกียวด้วยครับ

    – หน้าสถานีรถไฟโตเกียวครับถ่ายรูปแล้วสวยมาก
    – Tokyo Tower
    – Tokyo skytree
    – Tokyo Metropolitan Government Building (ศาลาว่าการกรุงโตเกียว) ชมวิวได้ฟรี
    – ชอปปิ้งตึกม่วง, Ameyoko
    – ฮาราจูกุ ศาลเจ้าเมจิ
    – พระราชวังอิมพีเรียล สะพานนิจูบาชิ

    วันที่ 11 ผมควรจะกลับมาพักโตเกียว หรือ ไปนอน shin-osaka เลยดีกว่า

    ถ้าไม่อยากเสียเวลามาโตเกียวก็นั่ง Night bus ไป Shin-Osaka เลยครับ

    Osaka 1 วัน เที่ยวที่ไหนดีครับ เห็น admin เที่ยว 2 วันอะครับ อยากได้ที่ที่สำคัญๆก็พอครับ

    ผมไปเที่ยวโอซาก้าวันเดียวครับที่สำคัญก็มีปราสาทโอซาก้า วัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple) ป้ายกูลิโก๊ะยักษ์ โดทงโบริ

    วันที่กลับจาก Kyoto ไป Tokyo ผมนั่งรถบัสตอนกลางคืนดีกว่ามั้ยครับ ผมจะประหยัดค่าห้องไป 1 คืน

    ถ้าต้องการประหยัดก็โอเคอยู่ครับ

    วันที่ 15 เก้บตก Tokyo เเล้วไป โอไดบะ ไป Yokohama ดีมั้ยครับ

    ที่พอไปได้ก็ Yokohama และ Kamakura ครับ ลองดูว่าสนใจอันไหน

  • February 2, 2015 at 6:53 pm
    Permalink

    จากไทยไปลง นาริตะ อยากทราบว่าจะซื้อ Tokunai Pass ได้ที่ไหนค่ะ อ่านดูหลายๆคนรีวิว ไม่มีใครบอกเลยว่าซื้อได้ที่ไหน ขอบคุณค่ะ

  • February 5, 2015 at 1:50 pm
    Permalink

    สวัสดีค่ะ รู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เจอรีวิวนี้ มีประโยชน์และละเอียดมากค่ะ

    มีแพลนจะไปญี่ปุ่น 1-7 เมษายน บิน Air Asia ลง Kansai ถึงตอน 22.50 และมีแผนการคร่าวประมาณนี้ค่ะ

    > ขึ้นรถLimousine Bus ที่ Terminal1 Bus stop No.2 รถออกเวลา00.30ถึง สถานีNumba เวลาตี 01.24 น.
    จากนั้นเดินไปที่พักระยะทาง 1 กิโลครึ่ง หรือจะขึ้นแท็กซี่ ราคาประมาณ 1,000 เยน
    2 เม.ย.> เจอกัน 10.00 น. ไปทานข้าวร้าน Yoshinoya (ข้าวหน้าเนื้อ/หมู) เป็นร้านที่อยู่ใกล้ที่พัก จากนั้นเดินทางไปปราสาทโอซาก้า ไปชมสวนสาธารณะนิชิโนะมะรุ ซึ่งเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยที่สุดในแถบคันไซ จากนั้นเดินไปทานข้าวเที่ยงทานย่านชินเซะไก
    > ช่วงเย็น ไปเดินเล่นย่าน “ชินไซบะชิ” ถ่ายรูปกับกูลิโกะแมนและปูยักษ์ขยับก้ามปูที่สะพานเอะบิชุบะชิ และหาข้าวเย็นทาน จากนั้นเดินเล่นต่ออีกหน่อยในย่าน กลับเข้าที่พัก

    วันที่ 3 – 4 เม.ย.58
    3 เม.ย.> เจอเวลา 8.00 น.หาอาหารเช้าทานแถวที่พัก จากนั้น Check out ออกจากโรงแรม chisun Inn Osaka Hommachi และเดินทางไป shin-Osaka เพื่อ Check In โรงแรม gr-esaka (โรงแรมนี้จะพักจนถึงวันกลับ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่เมืองโกเบ
    > ช่วงเที่ยง-บ่าย ทาน Steak Land ซึ่งจะมีเนื้อโกเบ/ปลาหมึก/กุ้ง ทางเสร็จไปเดินเล่นย่านโมะโตะมะริ ถ่ายรูปสเตนกลาสสีสดสวยเหนือศีรษะ และหาร้านขนมปังพร้อมกาแฟทาน ไปเดินต่อที่ย่านไชน่าทาวน์ ก่อนมุ่งหน้าไปอ่าวโกเบ
    > ช่วงเย็น-ค่ำ เดินเล่นที่อ่าวโกเบ หาอาหารเย็นทาน ชมแสงสีจิบเบียร์เบาๆที่อ่าวโกเบก่อนกับที่พัก

    4 เม.ย.> เจอเวลา 8.00 น.เดินทางไปทางซูซิ ร้าน Endo Sushi ที่ตลาดปลา จากนั้นมุ่งหน้าสู่เมืองนารา เมืองเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์
    > เมื่อถึงเมืองนารา พวกเราจะเช่าจักรยานปั่นรอบเมืองนารา โดยปั่นไปสถานที่ตามนี้
    -ชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติประจำเมืองนารา>ชมเจดีย์ 5 ชั้นวัดโคฟุจิ>นมัสการหลวงพ่อโตวัดโทไดจิ>ไต่เนินลงสู่ศาลเจ้าคะซุงะไทชะ>ตบท้ายด้วยให้ข้าวเกรียบกวางในสวนสาธารณะนารา แวะซื้อของฝาก มุ่งหน้าไปย่าน UMEDA
    > ช่วงค่ำ หาอาหานเย็นทานย่าน Umeda จากนั้นไปขึ้นชิงช้ายักษ์ ชมวิวกลางคืนของโอซาก้า เดินเล่นนิดนุง ก่อนกลับที่พัก

    วันที่5-7เม.ย. ตั้งใจจะไปตามที่่ Admin ไปเกียวโต ทั้่งสองวันเลยค่ะ

    7เม.ย.>>
    นัดเจอ9.00 นำกระเป๋ามาเช็คเอาท์ ไปปราสาทฮิเมจิกับสวนโคโคะเอ็น และเดินเล่นย่านร้านค้าในฮิเมจิ

    กลับมาถึงที่พักไม่เกิน 19.00 เดินทางไปสนามบินคันไซ เช็คอินโหลดกระเป๋า แล้วอาจจะนั่งรถไฟย้อนกลับมาเดินเล่นที่ outlet ใกล้ๆ กลับสนามบิน

    สิ่งที่จะสอบถามเพิ่มเติม ตั๋วรถไฟหลักๆ ตั้งใจจะซื้อเป็น
    สามวันแรก ตั้งใจจะซื้อเป็น KTP และสามวันหลังเป็น JR west
    หรือว่า 2 วันแรกเป็น KTP และสี่วันหลังเป็น JR อันไหนจะคุ้มกว่ากันคะ
    รบกวนแอดมินแนะนำด้วยนะคะ

    ขอบคุณมากๆ ค่ะ

  • February 11, 2015 at 11:06 am
    Permalink

    รบกวนสอบถามครับ พอดีเดินทางคล้ายๆกับรีวิว ช่วงวันที่ 1-11 พค. แต่มีเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย โปรแกรมคร่าว คือ
    วันที่ 1 – ถึงโตเกียวตอน 3 ทุ่ม เข้าที่พักเลยแถวๆอุเอโนะ
    วันที่ 2 – เที่ยวโตเกียว ชิบุย่า อาซากุสะ -พักโตเกียว
    วันที่ 3 – ไปโอซาก้า -เที่ยวในโอซาก้า -พักโอซาก้า -ใช้ JR วันแรก (ฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่ รร)
    วันที่ 4 – ไปเกียวโต – พักโอซาก้า ตามรีวิว
    วันที่ 5 – ไปเกียวโต – พักโอซาก้า ตามรีวิว
    วันที่ 6 – ไปนาโกย่า – พักนาโกย่า
    วันที่ 7 – ไปโตเกียว+โยโกฮาม่า -พักโตเกียว
    วันที่ 8 – ไป – คามารุระ -พักโตเกียว
    วันที่ 9 – ไป – นิกโก -พักโตเกียว -JR หมด
    วันที่ 10 – เก็บทั่วๆโตเกียว – พักโตเกียว
    วันที่ 11 – เก็บตกโตเกียว ย่านอุเอโนะ กลับBKK 19.00

    อยากสอบถามว่า
    1.ในวันที่8 สามารถเปลี่ยนเป็นที่อื่นได้ไม๊ที่น่าสนใจ แต่คาวากุจิโกะเคยไปแล้วครับ
    2.ช่วงที่ไปโอซาก้า ถ้าไปเกียวโตวันเดียว ทันไม๊ครับ อยากไปหลักๆคือ วัดทอง วัดน้ำใส โทริอิแดง
    3.มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *