นั่ง Shinkansen เที่ยวโอซาก้า ปราสาทโอซาก้า ป้ายไฟกูลิโก๊ะ โดทงโบริ
ต่อจากตอนที่แล้ว –> รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น บิน A380 การบินไทย นั่งรถไฟจากสนามบิน Narita เข้า Tokyo วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง รีบอาบน้ำแต่งตัว และ check out ออกจากโรงแรม Candeo Ueno กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบ ขอฝากไว้กับโรงแรม อีก 5 วันเราจะกลับมาพักที่นี่อีก ไม่ต้องเอากระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยให้ลำบาก แบ่งเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องใช้ใส่เป้ไป การไปเที่ยวหลายวันแบบนี้เราคงไม่สามารถเอาเสื้อผ้าไปครบทุกวันได้ กางเกงยีนส์ก็ต้องมีใส่ซ้ำบ้าง มีซักผ้าที่โรงแรมบ้าง
โปรแกรมเที่ยวของวันนี้ จากโตเกียว นั่งรถไฟความเร็วสูง Shinkansen ไปที่โอซาก้า แล้วก็เที่ยวในโอซาก้า พักที่โอซาก้า
วันนี้เราเปิดใช้งาน JR Pass วันแรก และใช้ต่อๆ กันไปเรื่อยๆ จนครบ 7 วัน JR Pass ก็จะหมดอายุ การใช้งาน JR Pass ระบุไว้ว่าต้องใช้งานติดต่อกัน ไม่สามารถแบ่งใช้งานเป็นวันได้
การใช้งาน JR Pass มีวิธีการง่ายๆ ดังนี้
1. ใช้ได้กับขบวนรถไฟ JR และรถไฟความเร็วสูง Shinkansen ทุกขบวน (ยกเว้นขบวน Nozomi, Mizuho ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้) ถ้าไม่รู้ว่าสถานีนั้นใช่ JR หรือเปล่า สังเกตง่ายๆ ถ้าชื่อสถานีมีคำว่า JR นั่นก็คือสถานี JR นั่งเอง
2. การเข้าไปในสถานีรถไฟให้แสดง JR Pass หน้าที่มีวันที่ระบุ กับนายสถานีที่ช่องริมสุด ช่องเดียวกับคนพิการนั่งแหล่ะครับ แล้วเค้าจะเชิญเข้าเลย ด้วยความสะดวกแบบนี้บางคนถึงเรียก JR Pass ว่าบัตรเบ่ง
3. การออกจากสถานีก็ทำเหมือนตอนเข้า ให้แสดง JR Pass หน้าที่มีวันที่ระบุ กับนายสถานีที่ช่องริมสุด
จากสถานี JR Uguisudani เรานั่งรถไฟ Yamanote line ไปยังสถานีโตเกียว
ช่วงเช้าประมาณ 6 โมงคนยังเดินทางไม่เยอะ รถไฟไม่แน่น รถไฟในญี่ปุ่นมาถี่มาก ในชั่วโมงเร่งด่วนมาทุก 2 นาทีเลย ขบวนนึงก็ยาวมาก
ในรถไฟบางขบวนจะมีหน้าจอบอกว่าตอนนี้อยู่สถานีอะไร กำลังจะมุ่งหน้าไปทางไหน โดยจะสลับกัน 4 ภาษา ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และ อังกฤษ ส่วนตัวเลขในรูปด้านบนบอกว่าใช้เวลากี่นาทีถึงจะถึงสถานีนั้น อย่างเช่น Uguisudani ไป Tokyo ก็ 10 นาที
พอถึงสถานีโตเกียวเราก็มองหาร้านขาย Bento (เบนโตะ) คำว่า Bento เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่าข้าวกล่อง เราจะซื้อ Bento ไปกินบนรถไฟ Shinkansen กัน การกินข้าวบน Shinkansen เป็นเรื่องปกติที่คนญี่ปุ่นทำกัน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องรบกวนคนอื่น แต่อาหารที่นำมาทานก็ต้องเป็นแบบไม่มีกลิ่น อย่างมาม่าคัพ แบบนี้ก็ไม่ไหวกลิ่นแรงเกิน
ร้านขาย Bento ส่วนมากจะมีแต่ในสถานี Shinkansen รถไฟธรรมดาเค้าไม่กินกันนะครับ คนแน่น ไม่มีที่กิน
เห็น Bento ร้านนี้คนมุงเยอะดีน่าจะอร่อย เลยไปมุงบ้าง ราคา Bento จะเริ่มต้นที่ประมาณ 500 เยน ไปจนถึง 1,200 เยน ราคาจะแพงกว่าร้านข้าวข้างทางนิดนึง การซื้อ Bento ก็ง่ายมาก เค้ามีรูปให้ดูเราก็แค่ชี้เอาว่าจะเอาอันไหน
ถึงแม้จะเป็นเพียงข้าวกล่องแต่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ package มาก แบ่งเป็นช่องสวยงาม อาหารมีสีสัน มีกล่องใส่ยังกับกล่องของขวัญเลย ประเทศนี้พิถีพิถันมาก
ได้ข้าวแล้ว เหลือแต่น้ำกับกาแฟ ไปซื้อกับตู้กดเอา
ที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะตรงไหน จะเห็นตู้น้ำแบบกดอยู่เต็มไปหมด บางตู้ก็รับเงินอย่างเดียว บางตู้ก็รับ IC card (Suica, Pasmo) ด้วย เงินที่หยอดตู้ก็รับตั้งแต่เหรียญ 10 เยน ไปจนถึงแบงค์ 1,000 เยนเลย ถ้าหยอดเกินตู้มีทอนครับ ไม่ต้องกลัว
ขั้นตอนการซื้อน้ำกับตู้แบบกด
1. ดูราคาสินค้าที่ต้องการ แล้วหยอดเงินลงไปให้พอดี หรือ มากกว่า
2. ไฟจะติดว่าสินค้าไหนซื้อได้บ้าง ให้กดปุ่มที่สินค้านั้น
3. สินค้าจะหล่นมาที่ช่องด้านล่าง พร้อมเงินทอน (ถ้ามี)
กาแฟกระป๋องที่ซื้อจากตู้นี้มีอุ่นให้ด้วย ไม่ได้เย็นตามสภาพอากาศ
ราคาน้ำดื่มจากตู้กดจะแพงกว่าซื้อในมินิมาร์ทนิดนึง อย่างเช่นน้ำเปล่าซื้อในมินิมาร์ทราคา 100 เยน ถ้าซื้อกับตู้กดราคา 110-120 เยน น้ำดื่มที่นี่ราคาแอบแพงนิดนึงนะครับคิดเป็นเงินไทยขวดละ 32-35 บาท ที่บ้านเรา 7 บาทเท่านั้น
ของกินพร้อมแล้ว เตรียมตัวขึ้นรถไฟกันดีกว่า ที่สถานีโตเกียวจะมีชานชาลา (Track) เยอะมาก เนื่องจากเป็นสถานีใหญ่เป็นจุดรวมของรถไฟหลายสาย ว่ากันว่าสถานีโตเกียวเป็นหนึ่งในสถานีที่มีผู้โดยสารผ่านเข้าออก เยอะติดอันดับต้นๆ ของโลกเลย เฉพาะรถไฟก็มากกว่า 3,000 ขบวน / วัน
สถานีนี้มี Track มากถึง 23 Track เลยทีเดียว ตอนแรกผมก็กลัวว่าจะขึ้นรถไฟไม่ถูก แต่เอาเข้าจริงมันง่ายมากครับ เคล็ดลับอยู่ที่เวบ www.hyperdia.com ผมได้ทำการ search รถไฟที่จะขึ้นจากเวบนี้ มาก่อนแล้วว่าต้องขึ้นขบวนอะไร Track ไหน เวลากี่โมง ผมก็แค่ขึ้นตามที่จดไว้เท่านั้นเอง
อย่างผมจะไปสถานี Shin-Osaka ผมการค้นหาออกมาเป็นอย่างนี้ครับ
TOKYO to SHIN-OSAKA รถไฟออก 7:33 ถึงสถานี SHIN-OSAKA เวลา 10:26 ขบวน SHINKANSEN HIKARI 503 Track 17
ผมก็เดินไปขึ้นที่ Track 17 แล้วรอขบวน SHINKANSEN HIKARI 503 เวลา 7:33 เท่านั้นครับ ทำการบ้านมาดีก็ไม่เสียเวลา
เดินขึ้นมาเห็น Shinkansen จอดอยู่เยอะมาก ตื่นตาตื่นใจ รถไฟสวย ดูทันสมัยมาก ฝันไว้ว่าบ้านเราคงจะมีรถไฟความเร็วสูงซักวัน
Shinkansen ที่เห็นจอดอยู่นั้นส่วนมากจะเป็น N700 Series ผลิตโดย Hitachi, Kawasaki Heavy Industries, Kinki Sharyo, Nippon Sharyo เป็นความรู้ใหม่เลยนะครับว่า Hitachi ทำรถไฟความเร็วสูงด้วย โดยรถไฟรุ่นนี้สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 300 กม./ชั่วโมง ให้บริการตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบัน
ระยะทางจากสถานีโตเกียว ถึง สถานีชินโอซาก้า ประมาณ 500 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หักเวลาที่จอดในแต่ละสถานีออก คำนวนคร่าวๆ ดูแล้วรถไฟน่าจะวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 170-200 กิโลเมตร / ชั่วโมง ตามมาตราฐานญี่ปุ่นแล้วความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เลยจำกัดความเร็วไว้ที่เท่านี้
ส่วนค่ารถไฟ Shinkansen ถ้าซื้อตั๋วเป็นเที่ยวจากสถานีโตเกียว ถึง สถานีชินโอซาก้า ขาเดียว ราคาอยู่ที่ 13,750 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,400 บาท (เรท 1 เยน : 0.32 บาท) คำนวนเฉลี่ยจะได้ 8.8 บาท / กิโลเมตร ราคาไม่เบาเลย
เพื่อความชัวร์ดูป้ายอีกครั้งว่าเราขึ้นถูก Track แล้ว ป้ายนี้จะสลับภาษาไปเรื่อยๆ เราก็รอดูภาษาอังกฤษ โชคดีว่าเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนอยู่มหาวิทยาลัยมา 2 เทอมก็พอจะอ่านคำว่า Hikari (ひかり) ออกเลยไม่ต้องรอภาษาอังกฤษ
รถไฟ Shinkansen จะแบ่งตู้ที่นั่งเป็น 3 ส่วน 1. สำหรับผู้ไม่ได้จองที่นั่ง (Non Reserved) 2. ผู้ที่จองที่นั่ง (Reserved) 3. ตู้หรู Green car (ประมาณ Business class) และแบ่งเป็นตู้สูบบุหรีและไม่สูบบุหรีอีก ต้องนั่งให้ถูกตู้นะครับ ถ้าจองที่นั่งมาแล้วก็นั่งตามตู้ที่ระบุในตั๋ว ถ้าไม่ได้จองก็ดูที่ป้ายเอาว่า Non Reserved ตู้ไหนบ้าง จากรูปด้านบนบอกว่า Non Reserved Car No.1-5 เราก็ขึ้นตู้ 1-5
จำเป็นต้องจองที่นั่งรถไฟ Shinkansen ไหม?
จากประสบการณ์ผมถ้าเดินทางจากสถานีต้นทางเช่น Tokyo, Shin-Osaka ไม่ต้องไปจองให้เสียเวลาหรอกครับ มีที่นั่งให้เลือกเยอะแยะ รถไฟก็ออกถี่ด้วย แต่ถ้าขึ้นกลางทางอันนี้ควรจองครับเพราะมีโอกาสสูงที่จะได้นั่งแยกกัน ส่วนการจองที่นั่งจะต้องนั่งตามที่ตั๋วระบุซึ่งมันเหมือนจะดีว่าเราได้นั่งตรงนี้แน่ๆ แต่ผมเคยเจอประสบการณ์ไม่ดีเจอแก๊งค์คุณป้าชาวญี่ปุ่นนั่งเบาะหลังคุยเสียงดังมาตลอดทางและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนผมต้องยอมแพ้ยอมหอบสัมภาระจาก Car 8 เดินไป Car 4 ตรงส่วนที่ไม่ได้จองที่นั่ง ไปหาที่นั่งใหม่
เนื่องจากว่าสถานีโตเกียวเป็นสถานีต้นทางรถไฟจะมาถึงก่อนเวลาประมาณ 15 นาที เมื่อขึ้นรถไฟแล้วเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลย ที่นั่งจัดเรียงแบบ 3-2 ผมแนะนำให้นั่งฝั่งขวา ฝั่ง 2 ที่นั่งครับ เพราะเส้นทางจากโตเกียวไปโอซาก้า จะผ่านภูเขาไฟฟูจิ เราจะได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิระหว่างทาง
เบาะ Shinkansen กว้าง นั่งสบายกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ก็เอาติดตัวขึ้นรถไฟได้ครับ มีปลั๊กไฟ 100 VAC ไว้เสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ด้วย โต๊ะพับด้านหน้าสามารถกางออกกินข้าว ทำงาน หรือวาง Notebook ได้ เบาะสามารถปรับเอนได้นิดนึง
โต๊ะพับจะบอกว่าเราอยู่ตู้ 4 ห้องน้ำอยู่ทางไหน ที่ทิ้งขยะ ที่สูบบุหรี่อยู่ตู้ไหน
หลังจากแน่ใจว่าเราขึ้นถูกขบวนแล้วก็แกะกล่องเบนโตะมากินกัน กินกันตั้งแต่รถไฟยังไม่ออกเลย
ข้าวหน้าหมูทอดกล่องนี้ 1,000 เยน หรือประมาณ 320 บาท คู่กับกาแฟกระป๋องละ 120 เยน ข้าว Bento จะไม่ร้อนนะครับกินแบบเย็นๆ
ทานอิ่มแล้วก็เอาขยะไปทิ้ง มีช่องแยกขยะทั่วไป และขวด, กระป๋อง
เดินสำรวจในรถไฟต่อ ตรงนี้เป็นที่ล้างมือ
สุขาชาย
สุขาทั่วไป อันนี้เหมือนบนเครื่องบินเลยครับ ทันสมัยมาก สะอาดด้วย
Shinkansen สะดวก สบายอย่างนี้นี่เอง คนญี่ปุ่นถึงนิยมนั่งกัน เส้นทางโตเกียว – โอซาก้า นั่งรถไฟสะดวกกว่านั่งเครื่องบิน ไม่ต้องออกไปสนามบินที่อยู่นอกเมือง ไม่ต้องไปให้ถึงก่อนเวลา 2 ชั่วโมงเหมือนเครื่องบิน ที่นั่งบน Shinkansen สบายกว่าบนเครื่องบินเยอะ Shinkansen ออกถี่ด้วยทุกๆ ครึ่งชั่วโมงเลย
ออกจากโตเกียวได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้เจอกับภูเขาไฟฟูจิแล้วครับ วันนี้โชคดี ฟ้าใส มองเห็นฟูจิซังได้ชัดมากๆ มีหิมะปกคลุมที่ยอดภูเขาไฟ และได้เห็นอยู่หลายช่วง เห็นจนเต็มอิ่มเลยครับ
ระหว่างทางคนก็ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบเต็มทุกที่นั่ง บน Shinkansen มีพนักงานมาขายขนม เครื่องดื่ม ด้วยนะครับ พนักงานสุภาพมากเวลาจะออกจากตู้เรา ไปยังตู้ถัดไป เธอจะโค้งงามๆ และขอบคุณ หรือ ขอโทษที่รบกวนนี่แหล่ะ ผมแปลไม่ออก แต่น่าจะประมาณนี้
10.26 น. รถไฟมาถึงสถานี Shin-Osaka ตรงตามเวลา ไม่พลาดแม้แต่นาทีเดียว ตามมาตราฐานญี่ปุ่น
สถานี Shin-Osaka เป็นสถานี Shinkansen สถานีใหญ่ของเมืองโอซาก้า สามารถเข้าเมืองโอซาก้าได้โดยนั่ง JR ไปเพียง 1 สถานีก็จะเจอกับ JR Osaka loop line หรือถ้าจะไปเกียวโตก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่สถานี Shin-Osaka มีทั้งรถไฟธรรมดาและรถไฟ Shinkansen ด้วยเหตุนี้เองครับ นักท่องเที่ยวถึงนิยมพักแถวสถานี JR Shin-Osaka เพราะต่อรถไฟไปยังที่ต่างๆ สะดวก ไม่ว่าจะเป็น Osaka, Kyoto, Nara
สถานีนี้มีที่ฝากกระเป๋าแบบ Locker อยู่ค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเป็นสถานีใหญ่ ราคาฝากกระเป๋าเริ่มต้นที่ 300 เยน / การเปิด 1 ครั้ง แต่ถ้าฝากข้ามวันก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีก
ข้อมูลทั่วไปของเมืองโอซาก้า (Osaka)
โอซาก้าเป็นเมืองหลักของภูมิภาคคันไซ ถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง ความเจริญ รอบๆ โอซาก้าล้อมรอบไปด้วยเมืองดังต่อไปนี้ ทิศตะวันออกเฉียงเหนืองติดกับเมืองเกียวโต (Kyoto) ทิศตะวันออกติดกับเมืองนารา (Nara) ทิศตะวันตกติดกับเมืองโกเบ (Kobe) นักท่องเที่ยวนิยมมาพักที่โอซาก้า แล้วใช้โอซาก้าเป็นฐานในการเที่ยวเมืองต่างๆ แบบเช้าไปเย็นกลับ ในอดีตโอซาก้าเคยเป็นเมืองหลวงเก่ามาก่อน โอซาก้าจึงมีปราสาท ศาลเจ้าเก่าแก่อยู่หลายแห่งที่สามารถเข้าชมได้
การเดินทางในโอซาก้า
โอซาก้านับว่าเป็นเมืองที่มีรถไฟหลายสายวิ่งอย่างทั่วถึงมาก น้องๆ โตเกียวเลย มีรถไฟ Subway มากถึง 9 สาย, JR Osaka loop line ที่วิ่งวนรอบเมืองผ่านสถานที่สำคัญ ย่านชอปปิ้งหลายแห่ง เช่น Namba, Umeda, Osaka และยังมีรถไฟความเร็วสูง Shinkansen วิ่งระหว่างเมือง นอกจากนั้นโอซาก้ายังมีสนามบินคันไซ (KIX : Kansai International Airport) เป็นสนามบินใหญ่ มีสายการบินไทยบินตรงมาลงที่สนามบินคันไซ
รูป. แผนที่รถไฟเมืองโอซาก้า
สถานที่เที่ยวที่แรกในโอซาก้า เราจะไปกันที่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) โดยนั่งรถไฟ JR Osaka loop line ไปลงที่สถานี JR Osakajokoen ใช้เวลาเดินทางประมาณ 19 นาทีจากสถานี Shin-Osaka
ถึงสถานี JR Osakajokoen แล้ว แต่ต้องเดินไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร กว่าจะถึงตัวปราสาท ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะครับ แต่มันก็ไม่มีทางไหนที่จะใกล้กว่านี้อีกแล้ว ดีหน่อยที่อากาศเย็นเหงื่อไม่ออก ไม่งั้นคงแย่กว่านี้
ระหว่างทางเจอเด็กญี่ปุ่นมาทัศนศึกษา น่าจะประมาณอนุบาลเท่านั้น ใส่หมวกสะพายกระติกน้ำจูงมือมากัน เราจะเห็นเด็กญี่ปุ่นมาทัศนศึกษาตามที่ต่างๆ เยอะมาก การเรียนรู้นอกห้องเรียนก็มีความสำคัญไม่แพ้ในห้องเรียนเลย ได้เห็นภาพจริง สถานที่จริง มันน่าสนใจกว่าดูรูปในตำราเยอะครับ
ตรงนี้เป็น Osaka-Jo Hall เป็นที่จัดงานต่างๆ เช่นคอนเสิร์ต แข่งกีฬา มีที่นั่งขนาด 16,000 ที่
ถึงแดดจะแรงแต่ก็ไม่ร้อนครับ อุณหภูมิประมาณ 12 องศาเท่านั้น
ระหว่างเส้นทางไปปราสาทโอซาก้าจะเป็นถนนที่สองฝั่งเป็นแนวต้นแปะก๊วย อยู่ในช่วงเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ดูแล้วสวยงามครับ ถึงจะไม่เหลืองตลอดทั้งแนวก็ตาม
สะพานนี้มีชื่อว่า Gokurakubashi เป็นสะพานที่เชื่อมไปยังปราสาทโอซาก้า คำว่า “Gokuraku” มีความหมายทางพุทธศาสนาว่า “The World of peace” สะพานนี้เคยโดนไฟไหม้ไปเมื่อ ค.ศ. 1868 และสะพานที่ใช้ในปัจจุบันได้สร้างใหม่ในปี ค.ศ. 1965
ก้อนหินที่ใช้ในการสร้างปราสาท
เข้าเขตตัวปราสาทแล้วครับ
ที่เห็นเป็นผนังกระจกในรูปบนเป็นลิฟท์ครับ ปราสาทโอซาก้าน่าจะเป็นปราสาทเดียวในญี่ปุ่นที่มีลิฟท์
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1583 โดยนักรบไดเมียว นามว่า Toyotomi Hideyoshi ใช้แรงงานคนนับหมื่นคนในการสร้างปราสาท โดยใช้เวลาสร้างเพียง 3 ปีเท่านั้น ต่อมาตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโครต ตัวปราสาทก็ถูกทำลาย แต่ก็มีการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แล้วก็ถูกฟ้าผ่าอีก
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่ จึงได้สวยงามอย่างที่เห็นทุกวันนี้ เนื่องจากว่าตัวปราสาทมีการบูรณะใหม่ไม่นานจึงมีการสร้างลิฟท์อำนวยความสะดวกเข้าไปในตัวปราสาท
ตัวปราสาทโอซาก้ามีทั้งหมด 8 ชั้น ในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์มีภาพเขียน ชุดนักรบโบราณ ตำราเก่า แสดงเรื่องราวความเป็นมาของตัวปราสาท ชั้นบนสุดของปราสาทเป็นจุดชมวิวเมืองโอซาก้าสามารถเดินได้โดยรอบ
เปิดเข้าชม : 9.00-17.00 น. (เปิดให้เข้าได้จนถึง 16.30 น. ในบางฤดูกาลจะเปิดให้เข้านานกว่าปกติ) ใช้เวลาในการชมตัวปราสาททั้งหมดราว 60 นาที
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ (16 ปีขึ้นไป) 600 เยน, เด็ก (ตั้งแต่ 15 ปีลงมา) เข้าฟรี, ถ้าชมรอบๆ ปราสาทไม่เสียค่าเข้า
เราสามารถซื้อบัตรเข้าชมกับพนักงานหรือกับตู้ขายตั๋วก็ได้ครับ การซื้อกับตู้ก็เพียงจิ้มไปที่จำนวนคน ใส่เงินลงไป ใส่เกินมีทอน บัตรก็จะออกมาเท่านี้เองครับ สะดวกดี
บัตรเข้าชม 2 ใบ
ในตัวปราสาทจะห้ามถ่ายรูปนะครับ แต่จะมีเพียงบางชั้นที่ให้ถ่ายได้
เมื่อเข้าไปในปราสาทแล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปเริ่มต้นที่ชั้น 6 แล้วเดินบันไดขึ้นไปที่ชั้น 8 เป็นจุดชมวิวปราสาทโอซาก้า
ใบไม้เปลี่ยนสีรอบปราสาท ในรูปบนเป็นสวนสาธารณะ Osaka Castle Park
รูปปั้นปลาสีทองที่ปลายหลังคาปราสาทโอซาก้า
จากนั้นก็เดินลงมาที่ ชั้น 7..6..5 ลงมาเรื่อยๆ ดูประวัติความเป็นมา ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ครับ เพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น
ชั้นนี้มีหมวกนักรบให้เช่าด้วย คนละ 300 เยน
ลงมาถึงชั้นล่างเป็นของที่ระลึก มีมีดดาบ ปราสาทโอซาก้าจำลอง ราคาไม่เบาเหมือนกัน
ของที่ระลึก
รวมแล้วใช้เวลาอยู่ในปราสาทไม่เกิน 30 นาที เสียดายว่าไม่ค่อยมีของเก่าให้ดูซักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะว่าปราสาทนี้ถูกสร้างใหม่ ของเก่าก็ไม่เหลือแล้ว
เดินออกมาทางหน้าปราสาท
ที่เห็นเป็นวัตถุทรงกลมนูนขึ้นมาจากพื้น เป็น Expo ’70 Time Capsule ได้ทำขึ้นในปี ค.ศ.1970 สมัยที่โอซาก้าเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo ภายในแคปซูลได้ใส่สิ่งของในปีค.ศ. 1970 ลงไป และจะมีการเปิดแคปซูลอีกครั้งในอีก 5,000 ปีข้างหน้า
ในบริเวณนี้มีร้านขายขนม ของฝาก และของกินเล่น เหมาะสำหรับนั่งพักขา เดินเข้ามาปราสาทโอซาก้าก็ 1 กิโลกว่า เดี๋ยวก็ต้องเดินออกอีก 1 กิโลกว่า
เดินบ้างพักบ้าง จะได้ไม่เหนื่อย
ระหว่างทางเจอนักท่องเที่ยวคนไทยบ้าง แต่ไม่ค่อยมีฝรั่งผมทองมาเที่ยวญี่ปุ่นนะครับ แปลกใจอยู่เหมือนกัน
เทียบขนาดคนกับก้อนหินที่ฐานปราสาท
ถ้าไปญี่ปุ่นหลายเมือง จะสังเกตเห็นว่าฝาท่อแต่ละเมืองจะไม่เหมือนกันอย่างโอซาก้าก็จะเป็นรูปปราสาทโอซาก้า โตเกียวก็จะเป็นรูปดอกซากุระ ญี่ปุ่นมีอะไรที่น่ารักๆ อยู่หลายมุมครับ
ออกจากปราสาทโอซาก้าก็บ่าย 3 แล้ว เดี๋ยวนั่งรถไฟไปเที่ยวต่อที่วัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple) ลง JR Tennoji
รถไฟ JR สาย Osaka loop line ที่นั่งจะหันหน้าไปทางเดียวกับทิศทางที่รถไฟวิ่ง ไม่เหมือนในโตเกียวที่นั่งฝั่งละแถวหันหน้าเข้าหากัน ตู้รถไฟแบบนี้ผมเคยนั่งในกรุงเทพฯ เหมือนกันครับ คาดว่าเป็นตู้รถไฟที่ญี่ปุ่นบริจาคให้เรา
ประมาณ 15 นาทีก็มาถึงสถานี JR Tennoji และเดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงวัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple)
บริเวณนี้มีสวนสาธารณะ และสวนสัตว์ Tennoji ด้วย
ระหว่างทางไปวัดเจอส้มญี่ปุ่นขายถาดละ 300 เยน ถาดนึงมีสิบกว่าลูก เลยลองดูซะหน่อย ซื้อกลับมา 1 ถุง ส้มญี่ปุ่นหวาน เนื้อนิ่ม ไม่ค่อยมีกากครับ อร่อย แนะนำให้ลองกัน
เรามาถึงวัดชิเท็นโนจิ เกือบ 4 โมงเย็นใกล้จะเป็นเวลาปิดแล้ว
วัดชิเท็นโนจิ (Shitennoji Temple) เป็นวัดศาสนาพุทธ ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นใน ค.ศ. 593 หรือเมื่อ 1,400 ปีที่ผ่านมา สร้างขึ้นโดย Prince Shotoku ที่เห็นโครงสร้างวัดไม่ได้ดูเก่าเหมือนอายุ เพราะผ่านการซ่อมแซม และสร้างใหม่อยู่หลายครั้ง
วัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่น มีธรรมเนียมก่อนเข้าวัดที่เหมือนกันคือให้ล้างมือ บ้วนปากให้สะอาดก่อนเข้าวัด เป็นการชะล้างสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปก่อนที่จะเข้าวัด
ที่ล้างมือจะมีกระบวยตักน้ำ โดยปกติจะรองน้ำที่ไหลมาจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่ตักน้ำที่อยู่ในบ่อ
ศาลา 5 ชั้น สัญลักษณ์ของวัดชิเท็นโนจิ รอบๆ ศาลาเป็นพื้นโรยหินตามแบบฉบับของวัดญี่ปุ่น
เดินชมรอบวัดได้ฟรี แต่ถ้าต้องการเข้าในตัววัด เสียค่าเข้า 300 เยน
รอบๆ วัดตอนเย็นมีขายของ คล้ายๆ ตลาดนัดด้วยครับ เป็นของมือสองซะส่วนมาก
ชมวัดเสร็จตอน 4 โมงเย็น แต่ดูเหมือนใกล้จะมืดแล้ว ญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาวจะมืดเร็วครับ 16.30 น. เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว
สถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้เราจะไปที่นัมบะ Namba ตามหาป้ายไฟกูลิโกะยักษ์ (Glico) ปูยักษ์ เดินเล่นแหล่งชอปปิ้งของโอซาก้า โดทงโบริ (Dotonbori)
เรานั่งรถไฟจาก JR Tennoji ไปยัง JR Namba
น้ำใจคนญี่ปุ่น
พอมาถึงสถานี JR Namba ก็มองหาแผนที่ที่สถานีว่าโดทงโบริ (Dotonbori) ป้ายไฟกูลิโกะยักษ์ ไปทางไหน แต่ปรากฎว่าแผนที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่นครับ ป้ายบอกทางก็ไม่มีบอกไว้ มีแต่บอกทางไปรถไฟสายอื่น และบอกทางไป Namba walk ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลองเดินไปมั่วๆ ก็ไปโผล่ Supermarket ด้วยความที่เหนื่อยและไม่อยากจะหลงไปมากกว่านี้เลยกลับไปตั้งหลักที่สถานี JR Namba กะว่าจะถามนายสถานีว่าเดินไปทางไหน แต่นายสถานีก็ไม่ว่างอีก เลยมองหาเป้าหมายใหม่ เป็นหนุ่มญี่ปุ่นวัยประมาณนักศึกษา หรือคนเพิ่งเริ่มทำงาน
ผมเริ่มต้นด้วยภาษาอังกฤษแบบเบสิค I looking for this one (ชี้ไปที่ป้าย Glico ในหนังสือ). Do you know the way. หนุ่มญี่ปุ่นคนนี้ก็นึกอยู่นาน แล้วก็พูดอังกฤษคำ ญี่ปุ่นคำ ประมาณว่าพูดไม่ถูกให้ตามมาละกัน เค้าก็พาเดินผ่านทางใต้ดิน ผ่านห้าง ร้านขายของ จนเราเริ่มรู้สึกว่ามันไกลมาก เกรงใจเค้ามากๆ เดินมาประมาณ 10 นาทีก็พาข้ามถนน เราก็มาเจอกับรูปปูยักษ์ย่านโดทงโบริ เค้าก็ชี้รูปปูยักษ์ ตุ๊กตาตีกลอง ป้ายไฟ Glico ในหนังสือของผม แล้วบอกสั้นๆ ว่า Around here รวมระยะทางทั้งหมดที่เค้าพาเดินมา ประมาณ 1 กิโลเมตรได้ เราได้แต่ขอบคุณเค้า โค้งงามๆ หลายครั้งเลยกับความมีน้ำใจของเค้า
แผนที่และเส้นทางเดินจาก JR Namba ไปยังโดทงโบริ (Dotonbori) ป้ายไฟกูลิโกะยักษ์
ออกจากสถานี JR Namba แล้วเดินตามป้าย Namba walk แล้วออกตรงทางออกถนน Mido-Suji เดินตรงไปทางทิศเหนือก็จะเจอกับย่าน Dotonbori รวมระยะทางจาก JR Namba มา Dotonbori ประมาณ 850 เมตร
นัมบะ (Namba) – ชิงไซบาชิ (Shinsaibashi) – มินามิ (Minami)
นัมบะ* (หรือ มินามิ) เป็นแหล่งชอปปิ้งแหล่งใหญ่ของโอซาก้า ถ้าโตเกียวมีชินจูกุ นัมบะก็เปรียบเสมือนชินจูกุของเมืองโอซาก้า มีห้าง ร้านค้า ร้านอาหารมากมายในย่านนี้ วัยรุ่นหนุ่ม-สาวญี่ปุ่นมาเดินกันเยอะ ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) เป็นย่านที่มีคนมาเดินคึกคักที่สุด อยู่สองฝั่งของคลอง Dotonbori-gawa สัญลักษณ์ของย่านนี้ได้แก่ป้ายไฟโฆษณาต่างๆ เช่นป้ายกูลิโกะ (Glico), เบียร์ Asahi, ป้ายหน้าร้านแปลกๆ ปูยักษ์ เกี๊ยวซ่ายักษ์ ปลาปักเป้า ฯลฯ ย่านนี้มีหนังมาถ่ายทำหลายเรื่องทั้งหนังต่างประเทศและหนังญี่ปุ่น เพราะเป็นย่านที่บ่งบอกถึงความเป็นโอซาก้า
การเดินทางมา Namba สามารถนั่งรถไฟมาได้หลายสาย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ JR, Subway, Kentetsu รถไฟทุกสายใน Namba จะมีทางเดินเชื่อมกันที่เรียกว่า Namba walk บริเวณ Namba walk จะเป็นเหมือนห้างใต้ดินมีของขายมากมาย
หมายเหตุ* คำว่า Namba สามารถเขียนได้ 2 แบบ ได้แก่ Namba และ Nanba ถ้าเขียนตามภาษาญี่ปุ่นจะเขียนว่า Nanba แต่ภาษาญี่ปุ่นมีกฎอยู่ว่า ตัวสะกด n เมื่อเจอกับ พยัญชนะ b จะออกเสียงเป็น m ดังนั้นถ้าเจอใน google เขียนว่า Nanba ให้เข้าใจว่าคืออันเดียวกัน
หลังจากเดินมาถึงย่านโดทงโบริ เราก็เดินสำรวจหาที่ถ่ายรูปกัน ที่นี่มีหนุ่ม-สาว ญี่ปุ่นมาเดินเยอะมาก เห็นสาวญี่ปุ่นแต่งตัวดี ชวนหนุ่มญี่ปุ่นเข้าร้านอะไรซักอย่าง น่าจะเป็นคล้ายๆ คลับ แต่เค้าจะไม่ชวนชาวต่างชาติเลยนะครับ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารมีจุดเด่นอยู่ที่ปูยักษ์หน้าร้าน ขยับก้ามไปมาได้ด้วย เป็นจุดสนใจของคนเดินผ่านไปผ่านมา
ตุ๊กตาตัวตลกตีกลอง ตัวนี้มีชื่อว่าคุยดาโอเระ ทาโระ (Kuidaore Taro) มือจะขยับทำท่าตีกลองอยู่ตลอดเวลา ยืนเรียกแขกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูป
ขนม Kuidaore Taro
หน้าคนขนาดใหญ่อันนี้เป็นร้านอาหารครับ
ตู้คีบตุ๊กตา
ถนนย่านโดทงโบริ เห็นมืดสนิทแบบนี้จริงๆ แล้ว 6 โมงครึ่งเองนะครับ แต่หน้าหนาวพระอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นตกเร็ว ตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง
ป้ายกูลิโก๊ะยักษ์ ป้ายนี้หันหน้าเข้าหาคลองโดทงบูริถ้าไม่สังเกตจะมองไม่เห็น อยู่ใกล้กับ Starbucks coffee และ Tsutaya
ถ้าใครได้มาโอซาก้า โดทงโบริ ก็ต้องมาถ่ายรูปกับป้ายนี้ ไม่งั้นจะเหมือนว่ามาไม่ถึง จากข้อมูลในอินเตอร์เนตบอกว่าป้ายกูลิโก๊ะยักษ์ (Glico Man sign) ได้ติดตั้งครั้งแรกในปี ค.ศ. 1935 เป็นป้ายในแนวสูง แล้วก็มีการเปลี่ยนรูปแบบของป้ายมาเรื่อยๆ จนถึงป้ายปัจจุบัน เป็นป้ายรุ่นที่ 5 และล่าสุดกำลังจำเปลี่ยนใหม่เป็นป้ายรุ่นที่ 6 แล้วในปี 2014
ป้ายปัจจุบันถ้าดูในรายละเอียดของป้ายจะเป็นนักวิ่งผู้ชาย มีฉากหลังเป็นสถานที่สำคัญในโอซาก้า 4 แห่งได้แก่ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) , พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Kaiyukan), โอซาก้าโดม (Osaka Dome), และ หอคอยซึเทมคาคุ (Tsutemkaku tower)
เราเดินกันจนเต็มอิ่ม เลยคิดว่าจะกลับโรงแรมไป check-in ดีกว่า
ขากลับไป JR Namba ผ่าน Supermarket ใหญ่คนญี่ปุ่นมาซื้อของกันเยอะ เลยแวะไปหาของกินซะหน่อย
ข้าวกล่อง Supermarket ลดราคา
เดินไปแถวของกินเจอพนักงานกำลังติดป้ายลดราคาข้าวกล่อง ลดมากสุดถึง 30% ซึ่งเค้าจะลดราคาประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง ก่อนที่ห้างจะปิด ข้าวกล่องพวกนี้ทำกันวันต่อวัน ทำตอนเช้าขายถึงเย็น ข้าวกล่องมีหลายหลายมากไม่ว่าจะเป็นข้าวหมูทอด ข้าวแกงกระหรี่ ปลาดิบ ข้าวปั้น ของทอด สลัด ผัดยากิโซบะ ฯลฯ
กล่องที่ลดราคาจะมีป้ายลดติดอยู่อย่างชัดเจน
ด้วยความอยากลองเลยซื้อกลับมา 2 กล่องครับ 2 กล่องนี้ลดไป 30% จะซื้อไปกินมื้อเย็น หรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้าก็ได้ครับ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากลองข้าวกล่องซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือ มีงบจำกัด
อย่างในรูปด้านล่าง สลัดลดแล้วเหลือ 138 เยน ข้าวปั้นของทอดลดแล้วเหลือ 208 เยน อิ่มละ 100 บาท ถูกมากครับ
จาก JR Namba นั่งรถไฟไปลงที่ JR Shin-Osaka แล้วเดินต่ออีกเกือบ 1 กิโลเมตรเพื่อกลับที่พักเราครับ ถ้าอากาศเย็น ระหว่างทางมีอะไรให้ดู 1 กิโลเมตรก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ครับ
ที่พักของเราในระหว่างที่เราอยู่ย่านคันไซ ชื่อ Hotel Consort ครับเป็น Business Hotel 3 ดาว เราพักที่นี่ 4 คืนด้วยกัน ใน 4 วันนี้เราไปเที่ยวโอซาก้า นารา เกียวโต แล้วกลับมาพักที่นี่ทุกคืน เราพักตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี – เช้าวันจันทร์ ห้อง Small Double ราคาที่พัก 4 คืน 6,254 บาท หรือเฉลี่ยคืนละ 1,563 บาท เท่านั้น ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงนี้เป็นช่วงพีคของภูมิภาคนี้ด้วย แถมพักคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ด้วย ทำเลก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย เดินจาก JR Shin-Osaka ได้ประมาณ 10 นาที หรือถ้าขี้เกียจก็นั่ง Subway จาก JR Shin-Osaka มาลงสถานี Nishinakajima-Minmigata (สถานีนี้ชื่อจะยาวไปถึงไหน) นั่งรถไฟประมาณ 2 นาทีกับค่ารถไฟ 200 เยน ออกจากสถานีนี้ข้ามถนนมาเจอโรงแรมเลย
ผมพักที่นี่ 4 คืนส่วนมากก็เดินไปกลับโรงแรม และ JR Shin-Osaka ครับ บางวันเหนื่อยจริงๆ ก็ยอมนั่ง Subway มาลงหน้าโรงแรม แต่ยอมรับว่าค่ารถไฟ Subway โหดจริง 1 สถานี ประมาณ 1 กิโลเมตร ค่ารถไฟ 200 เยน (64 บาท) นั่ง 2 คนก็ 400 เยน (128 บาท) เข้าไปแล้ว
Hotel Consort เราจองกับ agoda ล่วงหน้าก่อนเข้าพักประมาณ 2 เดือน เดี๋ยวนี้ agoda มี option เพิ่มขึ้นมาใหม่ จองก่อนตัดเงินที่หลัง โดยจะตัดช่วงใกล้ๆ วันเข้าพัก ก็เป็น Option ที่เอาไว้สู้กับ Booking.com แต่ถ้าจะถามว่าเจ้าไหนดีกว่ากันให้ดูที่ราคาเลยครับ ถ้าราคาเท่ากันให้เลือก agoda เพราะมีแต้มให้สะสม แต่ถ้า Booking.com ถูกกว่า 5% ขึ้นไปก็จองกับ Booking
หลังจากจองกับ agoda เสร็จ เราก็จะได้ Hotel Voucher ที่ agoda ส่งมาให้ทางเมล เราก็ print ใบนี้ยื่นให้โรงแรมตอนเข้าพัก
ในรูปนี้จะเป็น Lobby ของ Hotel Consort กว้างขวาง มีโซฟาให้นั่งสบายๆ การ check in จะใช้ passport กับ Hotel Voucher เท่านั้น จากนั้นพนักงานจะให้เราเซ็นชื่อเข้าพัก ไม่มีมัดจำครับ พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ดี
เนื่องจากว่าปลั๊กไฟที่ชาร์ตถ่านกล้องของผมเป็นแบบขากลม ซึ่งจะไม่สามารถใช้กับปลั๊กไฟญี่ปุ่นที่เป็นแบบขาแบนได้ ผมเลยขอยืม Adaptor ของโรงแรม ผมคิดว่าทุกโรงแรมเค้ามีให้ยืมครับ พนักงานหยิบ Adaptor มาให้ หน้าตาตามรูปครับ ไม่มีมัดจำ เราใช้เสร็จแล้วก็มาคืนเค้าเท่านั้นเอง ของผมยืมยาว คืนตอน Check out เลย
Lobby โรงแรม เปิด Heater อุ่นสบาย ไม่หนาวเหมือนข้างนอก
ตู้ขายบุหรี่ (ด้านซ้าย) ราคาเริ่มต้นที่ซองละ 410 เยน Marlboro ซองละ 440 เยน ตู้กดน้ำดื่ม (ด้านขวา) ในโรงแรม น้ำดื่มขวดละ 110 เยน ตั้งอยู่ที่ Lobby
ห้องพักอยู่ที่ชั้น 6 ครับ
สภาพในโรงแรมกลางๆ ไม่เก่า ไม่ใหม่ สะอาดตามมาตราฐานญี่ปุ่น
มาดูห้องพักแบบ Small Double คืนละ 1,563 บาท ภายในห้องเล็กกระทัดรัด แต่ก็กว้างกว่าโรงแรมในฮ่องกง สิงคโปร์เยอะ ราคานี้คุ้มกว่านอน Hostel สะดวก สบายกว่า
ที่นอนขนาด 5 ฟุต หมอนไม่รู้ว่าทำจากอะไรด้านในคล้ายๆ เม็ดข้าวโพดจะแข็งๆ นิดนึง ผ้าห่มขนาดพอดีเตียง อาจจะเล็กไปนิดนึง มีชุดนอนให้ 2 ชุด
ในห้องมีแอร์ และ heater ในตัวเดียวกัน ปรับอุณหภูมิได้ตามใจชอบ
หัวเตียงมีโทรศัพท์ นาฬิกาปลุก วิทยุ FM 4 สถานี ปลั๊กไฟ และสวิตช์ไฟ
มุมนี้มีไดร์เป่าผม กาต้มน้ำ ชาเขียวแบบซอง ทีวี
ข้างๆ ทีวีจะเป็นที่ใส่ Card เอาไว้ดูหนังพิเศษ ซึ่งมีหนัง AV ให้ดูเยอะมาก และหนังทั่วไป (มีใบรายการหนัง AV ให้ดูว่ามีอะไรบ้าง) แต่ต้องไปซื้อ TV Card ที่ตู้ด้านล่างราคา 1,000 เยน ดูได้วันนึง ใครอยากจะลองซักครั้งนึงในชีวิตก็ลองดูได้ครับ ได้ผลยังไงเล่าให้ฟังกันด้วย ส่วนผมขอนอนพักสบายๆ ดีกว่า
ใต้ทีวีจะเป็นตู้เย็นโล่งๆ ไม่มีน้ำดื่ม คงให้เราดื่มน้ำก๊อกอีกตามเคย คนไทยอย่างเราไม่คุ้นครับต้องไปซื้อน้ำขวดมากินอยู่ดี
ในห้องน้ำ ฝาผนังเหลืองเก่านิดนึงแต่สะอาดมากครับ ห้องน้ำญี่ปุ่นจะยกมาเป็นเซ็ทมาวางเลย ไม่มีปูกระเบื้องให้เห็น แต่แบบนี้ก็ทำความสะอาดง่ายดี
ชักโครกอัตโนมัติตามปกติ แต่อ่างอาบน้ำจะเล็กนิดนึง ถ้ายืนอาบแบบฝักบัวก็ไม่มีปัญหาแต่ถ้าคิดอยากจะแช่ต้องนั่งแช่แบบชันเข่าเท่านั้น
Shampoo, Conditioner, Body soap ใช้ของ Shiseido ครับ ของดีเลย โรงแรมบ้านเราคืนละ 2 พันยังใช้แชมพูแกลลอนเลย
ของในห้องน้ำก็มีฟองน้ำถูตัว ครีมทาตัว เจลล้างหน้า ครีมทามือ ยี่ห้อ Utena สำลี คอทตอนบัด ยางมัดผม จัดมาให้เยอะครับ แต่เหมือนจะขาดหมวกอาบน้ำ
โดยรวมแล้วก็ถือว่าคุ้มครับ เทียบกับราคาห้อง 1,563 บาท / คืน ห้องสะอาด พนักงานบริการดี มีฟรี wifi หลังจากเก็บของอาบน้ำเสร็จ นั่งพักซักแปปเราก็เข้านอนแล้วครับ วันนี้เดินทางเยอะ จากโตเกียวสู่โอซาก้า เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าไปเที่ยวที่เมืองนารา (Nara) เมืองแห่งกวาง ติดตามกันต่อตอนหน้าครับ 🙂
อ่านตอนต่อไป –> เที่ยวเมืองนารา Nara ให้อาหารกวาง ดูใบไม้เปลี่ยนสี วัด Todaiji ศาลเจ้า Kasuga Taisha
Post Views 71325
ตอบคุณ Tutik
ถ้ามีการเดินทาง Tokyo < --> Osaka ไปกลับแบบนี้ไม่ต้องคิดมากเลยครับ ใช้ JR Pass คุ้มกว่า แนะนำให้ซื้อ JR Pass 7 วันครับ
ขอฝาก link ไว้นะครับคิดว่าจะเป็นประโยชน์
เรื่องควรรู้ก่อนซื้อเจอาร์พาส เดินทางแบบไหนควรซื้อ JR Pass
https://www.emagtravel.com/archive/before-buy-jr-pass.html
อยากทราบวิธีการเดินทางจากสถานี Shin-Osaka ไป Hotel Consort ค่ะ เท่าที่อ่านรีวิวดูไม่ค่อยมีเท่าไหร่เลยคะ
ตอบคุณ Ple
ดูรีวิว Hotel Consort และแผนที่การเดินทางได้ในนี้ครับ https://www.emagtravel.com/archive/review-hotel-consort.html
ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณมากๆๆๆเลยครับ ข้อมูลแน่นมาก ทริปผมแน่นขึ้นได้เพราะจากข้อมูลที่นี่เลยครับ เนื่องจากมีหลายวันเลยที่แผนการเดินทางเหมือนกันมาก ผมกำลังจะไปในเดือนมกราคม ปีหน้าครับ
ตอบคุณ Napath
ดีใจครับ 🙂 ที่รีวิวนี้มีประโยชน์
กำลังหารายละเอียดในการเดินทางอยู่เลยค่ะ
เจอรีวิวนี้ช่วยได้มากเลยค่ะ
ตั้งใจจะไปญี่ปุ่นช่วง18-24 ธันวา 2559
ไปกันเอง มีพวกด้วยกัน 6 คน
แต่กระทู้นี้ก็นานแล้วรายละเอียดไม่น่าจะเปลี่ยนไปมาก
การเดินทางคือลงนาริตะ18
เที่ยวโตเกียว19
20ต้องย้ายเมืองไปโอซาก้า
อยู่โอซาก้า20-23
24ก็เดินทางกลับถึงไทยแล้ว
กังวลอย่างเดียวคือต้องขึ้นรถไฟยังไงเพราะเรื่องค่าใช้จ่ายเราก็ดูระเอียดแล้ว
ขอบคุณรายละเอียดของรีวิวนี้จริงๆค่ะ ทำให้มั่นใจในการเดินทางขึ้นเยอะเลย
ตอบคุณ JPhimsi
เอาขั้นตอนการขึ้นรถไฟมาฝากครับ https://www.emagtravel.com/archive/how-to-ride-japan-train.html
สอนการใช้งานเวบ HyperDia.com https://www.emagtravel.com/archive/how-to-use-hyperdia.html
ในโอซาก้าใช้ jr passได้ไหมคะ พักแถวนัมบะ ยั่งรถไฟจากโตเกียวไปโอซาก้าค่ะ
ตอบคุณ Yo
ใช้ได้ แต่ไม่ทั้งหมดครับ JR Pass ไม่สามารถใช้ได้กับรถไฟ Subway และสถานี JR บางสถานีเดินค่อนข้างไกล เช่น JR Namba ไปป้ายกูลิโกะ, JR Osakajokoen ไปปราสาทโอซาก้า
เดินทางช่วงวันที่ 1 เมษายน – 7 เมษายน
ร้านค้าในแหล่งช้อปปิ้งที่โอซาก้า ย่านนัมบะ เปิดทุกวันมั้ยค่ะ และหยุดวันไหนบ้างค่ะ ขอรบกวนด้วยนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ตอบคุณ Sawanna
เปิดทุกวันครับ ช่วงนั้นไม่มีวันหยุดญี่ปุ่นครับ
รบกวนขอพิกัด supermarket หน่อยค้าบ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
ตอบคุณ time
พิกัด supermarket ครับ
https://www.google.co.th/maps/@34.7265366,135.4988463,3a,75y,81.73h,88.19t/data=!3m6!1e1!3m4!1snQ6WitRpP8l9m8Djaomzww!2e0!7i13312!8i6656!6m1!1e1
1.จะเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า (ที่พักบริเวณ JR Namba) ถือบัตร JR Pass 7 วัน ไม่ทราบบัตร JR pass ครอบคลุมทั้งหมดหรือไม่คะ
2. สถานี JR Namba นี่ถือว่าอยู่ในเส้น loop line ของโอซาก้าหรือไม่คะ ใช้ JR Pass ได้รึเปล่าคะ
3. จากสถานี JR Namba เดินไปป้ายกูลิโกะ ได้หรือไม่คะ หรือไกลไป เห็นรีวิวในที่ที่จะไปพักเค้าบอกเดินได้ แต่เหมือนจะไกล
ขอบคุณมากค่ะ
ตอบคุณ Pad
1. ครอบคลุมหมดครับ (Shinkansen + JR)
2. JR Namba ไม่ใช่ Loop line ครับ
3. ในรีวิวมีบอกไว้ครับ อยากให้อ่าน ผมใช้เวลาเขียนนาน เพราะอยากให้คนที่ยังไม่เคยไป เข้าใจง่าย
ขอบคุณมากนะคะ เขียนบรรยาย แนะนำอย่างละเอียดมากๆ มีประโยชน์อย่างมากกับคนที่จะเดินทางไปท่องเทียวที่ประเทศญีปุ่น ถึงแม้อาจจะไม่ได้ไปในที่เดียวกัน แต่ก็สามารถนำเนื้อหาที่ได้อ่านในบทความรีวิวนี้ไปใช้ได้อย่างดีเลยค่ะ
ตอบคุณ nangkum
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ 🙂